ก.ล.ต.สกัดช่องโหว่ NVDR นักลงทุนไทยต้องระวังผิดกฎหมาย

30 มี.ค. 2567 | 05:17 น.

ก.ล.ต. ออกมาตรการใหม่เพื่อควบคุมการใช้ NVDR ของนักลงทุนไทย หลังพบว่ามีการนำไปใช้เป็นช่องทางหลบเลี่ยงกฎระเบียบต่างๆ เช่น การรายงานการซื้อขายหุ้น และปกปิดข้อมูลการถือครองหุ้น มาตรการนี้จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 เมษายน 2567 ใครฝ่าฝืนอาจมีความผิดตามกฎหมาย

ที่ผ่านมาตลาดทุนไทยได้เปิดโอกาสให้นักลงทุนต่างชาติสามารถเข้ามาลงทุนในบริษัทจดทะเบียนผ่านการถือครองหลักทรัพย์ประเภท Non-Voting Depository Receipt หรือ NVDR ซึ่งเป็นใบแสดงสิทธิในผลประโยชน์ที่เกิดจากหุ้นของบริษัทจดทะเบียนไทย โดยไม่มีสิทธิในการออกเสียงลงคะแนน อย่างไรก็ตาม NVDR ก็เปิดช่องให้นักลงทุนไทยบางรายนำมาใช้เป็นช่องทางในการหลีกเลี่ยงข้อจำกัดและกฎระเบียบบางประการ

เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าวสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) จึงได้ปรับปรุงหลักเกณฑ์ฯ ดังกล่าวเพื่อให้เกิดความชัดเจนและเป็นไปตามเจตนารมณ์ของการมีหลักทรัพย์ NVDR ในการสนับสนุนการลงทุนของผู้ลงทุนต่างชาติในตลาดทุนไทย โดยไม่ติดข้อจำกัดการถือครองหลักทรัพย์ของคนต่างด้าว (Foreign Limit) และเพื่อป้องกันการนำหลักทรัพย์ NVDR ไปใช้เป็นเครื่องมือในการหลีกเลี่ยงการปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง

เช่น หลักเกณฑ์การรายงานการได้มาหรือจำหน่ายหลักทรัพย์ หรือเป็นช่องทางปกปิดข้อมูลการถือหุ้น เป็นต้น ซึ่งอาจนำไปสู่พฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมในตลาดทุน หรือทำให้ผู้ลงทุนขาดข้อมูลที่อาจมีผลต่อการตัดสินใจลงทุน โดยหลักเกณฑ์ดังกล่าวมีสาระสำคัญ ดังนี้

1. ห้ามบริษัทหลักทรัพย์รับคำสั่งซื้อ รับโอน หรือแลกเปลี่ยนหลักทรัพย์ที่มีผลทำให้ผู้ลงทุนไทยมีหลักทรัพย์ NVDR เพิ่มขึ้น เว้นแต่กรณีการได้มาตามสิทธิที่เกิดจากการถือครองหลักทรัพย์ NVDR ก่อนประกาศมีผลใช้บังคับ หรือเป็นกรณีการโอนตามกฎหมาย

2. กรณีที่ลูกค้าเป็นบริษัทหลักทรัพย์ต่างประเทศ ผู้ดูแลและเก็บรักษาหลักทรัพย์ (custodian) ในต่างประเทศ หรือผู้ดำเนินการเพื่อบุคคลอื่น ให้บริษัทหลักทรัพย์แจ้งลูกค้าถึงข้อจำกัดการให้บริการตามข้อ 1 และให้ลูกค้าดังกล่าวเปิดเผยข้อมูลที่สามารถระบุตัวตนที่แท้จริงของผู้รับประโยชน์ทุกรายทุกทอดที่ทำธุรกรรมเกี่ยวกับหลักทรัพย์ NVDR ที่มีสัญชาติไทย โดยให้บริษัทหลักทรัพย์รายงานต่อ ก.ล.ต.ทุกสิ้นเดือนและเมื่อมีการปิดสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้น

ทั้งนี้ ประกาศปรับปรุงหลักเกณฑ์ดังกล่าวจะเผยแพร่ลงในราชกิจจานุเบกษาและมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2567 เป็นต้นไป