นายวิเวก ดาวัน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมก้า ไลฟ์ไซแอ็นซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ MEGA เปิดเผยว่า แผนการดำเนินงานในปี 67 บริษัทวางเป้าหมายการเติบโตของยอดขายไว้แบบตัวเลขหลักเดียวระดับกลาง หรือประมาณ 5-8% จากปีก่อน ที่มีรายได้จากการขายรวมอยู่ที่ระดับ 15,776.27 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ระดับ 1,992.67 ล้านบาท โดยมองว่าความต้องการยาและอาหารเสริมเพื่อสุขภาพยังคงมีอยู่อีกมาก ตามกระแสของการดูแลและรักษาสุขภาพของคนในยุคปัจจุบันที่มากขึ้น
ในปี 67 บริษัทวางแผนจะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ยาและอาหารเสริมใหม่อีกประมาณ 22 รายการ (SKUs) โดยที่กว่า 14 SKUs เป็นผลิตภัณฑ์ยาและอาหารเสริมที่เกี่ยวเนื่องกับสุขภาพ ขณะที่เหลือจะเป็นผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับยารักษาโรค เชื่อว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภคเหมือนที่ผ่านมา นอกจากนี้ บริษัทยังมีผลิตภัณฑ์ยาและอาหารเสริมที่อยู่ระหว่างการพัฒนาสูตร และอยู่ระหว่างการยืนขอขึ้นทะเบียนทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศอีกจำนวนมาก เชื่อว่าจะเข้ามาช่วยสร้างความหลากหลายและเพิ่มทางเลือกให้ผู้บริโภคได้มากขึ้น
พร้อมกันนี้ บริษัทจะยังคงความสามารถในการรักษาระดับอัตรากำไรขั้นต้นให้อยู่ที่เฉลี่ยไม่น้อยกว่าเดิม จากปี 66 ที่ทำได้เฉลี่ย 45.46% และยังคงเป้าหมายการเติบโตของกำไรสุทธิภายในปี 68-69 ไว้ที่ไม่น้อยกว่า 2,400 ล้านบาท
ด้านสถานการณ์ในประเทศเมียนมา มองว่าก็ยังคงเป็นเรื่องที่คาดเดาได้ยากกับเหตุการณ์ทางการเมือง แต่ในเรื่องของการบริโภคอาหารเสริม และความต้องการยายังคงมีอยู่มาก ทำให้ผลิตภัณฑ์ที่บริษัทมีการวางจำหน่ายยังคงทำได้อยู่ และบริษัทยังคงมีทีมงานที่คอยดูแลการขายอย่างใกล้ชิด พร้อมกันนี้บริษัทมีความสนใจและมองหาพาร์ทเนอร์ที่มีศักยภาพใหม่ๆ เข้ามาร่วมงานเพิ่มเติม เพื่อสร้างการเติบโตอย่างมีเสถียรภาพและยั่งยืนในอนาคต
ส่วนการลงทุนในประเทศอินโดนีเซียนั้น บริษัทจะมีการใช้เงินลงทุนอีกประมาณ 50 ล้านเหรียญฯ รองรับการเริ่มดำเนินการก่อสร้างโรงงานผลิตยาในรูปแบบใหม่ และคลังสินค้าเพิ่มเติม เบื้องต้นคาดว่าจะใช้ระยะเวลาในการก่อสร้างประมาณ 2 ปี หรือ 24 เดือนจึงจะแล้วเสร็จพร้อมเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ (COD) หรือในช่วงไตรมาส 2-3/68 ขณะเดียวกันก็ยังคงเดินหน้าขอขึ้นทะเบียนยาที่ผลิต รวมถึงผลิตภัณฑ์ยาและอาหารเสริมที่ต้องนำเข้าอย่างต่อเนื่อง
ขณะเดียวกันบริษัทมีความสนใจในการเข้าไปขยายการลงทุนเพิ่มเติมเช่นเดียวกัน เพราะมองว่าเป็นโอกาสที่ดี ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาการลงทุนในประเทศเวียดนามเพิ่มเติม เพราะเป็นประเทศที่จำนวนประชากรมากและอยู่ในช่วงของวัยทำงาน ตลาดอาหารและยามีอัตราการเติบโตที่สูงขึ้นทุกปีมาอย่างต่อเนื่อง เบื้องต้นมองหาทำเลที่อยู่ไม่ไกลจากโฮจิมินห์ ตอนนี้ก็มีที่ถูกใจแล้ว คาดว่าไม่เกินไตรมาส 2/67 จะดำเนินการเซ็นสัญญาซื้อที่ดินและสร้างโรงงานต่อไปได้