บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด(มหาชน) หรือ PTTEP แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯ ถึงแนวโน้มผลดำเนินงานในปี 2567 และในงวดไตรมาส 1/2567 ว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทขึ้นอยู่กับ 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่ ปริมาณการขาย ราคาขายและต้นทุน โดยบริษัทได้ติดตามและปรับเปลี่ยนแนวโน้มผลการดำเนินงานสำหรับปี 2567 ให้สอดคล้องกับแผนการดำเนินงานและภาวะอุตสาหกรรมที่เปลี่ยนแปลงไป สรุปประมาณการแนวโน้มผลการดำเนินงานเป็นดังนี้
ปริมาณการขาย
คาดการณ์ปริมาณการขายเฉลี่ยสำหรับไตรมาส 1/2567 และทั้งปี 2567 ที่ประมาณ 473,000 และ 505,000 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน ตามลำดับ เติบโตจากปี 2566 หลักๆ มาจากการเพิ่มกำลังการผลิตตามแผนงานของโครงการจี 1/61(เอราวัณ) สู่ระดับ 800 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน
ราคาขาย
ต้นทุน
สำหรับไตรมาส 1/2567 และทั้งปี 2567 ปตท.สผ. คาดว่าจะสามารถรักษาต้นทุนต่อหน่วยได้ที่ประมาณ 28-29 ดอลลาร์สรอ. ต่อบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากต้นทุนต่อหน่วยของปี 2566 โดยหลักจากค่าเสื่อมราคาต่อหน่วยและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานเพิ่มขึ้น จากการเพิ่มกำลังการผลิตของโครงการจี 1/61 (เอราวัณ) รวมถึงต้นทุนการดำเนินงานในอุตสาหกรรมปรับตัวสูงขึ้น จากแนวโน้มของความต้องการใช้แท่นขุดเจาะในธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมที่เพิ่มขึ้น
คาดการณ์แนวโน้มราคาน้ำมันดิบปี 2567 ปตท.สผ. คาดว่าราคาน้ำมันดิบดูไบในครึ่งปีแรกมีแนวโน้มทรงตัวที่ 70-80 ดอลลาร์ สรอ. ต่อบาร์เรล จากความกังวลเศรษฐกิจในฝั่งประเทศตะวันตกที่อัตราดอกเบี้ยคงตัวในระดับสูง และการผลิตน้ำมันดิบนอกกลุ่ม OPEC+ ที่มีแนวโน้มสูงขึ้นต่อเนื่อง ภายหลังจากข้อตกลงของกลุ่มสมาชิก OPEC+ สิ้นสุดลงในไตรมาส 1/2567 และในไตรมาส 3 และ 4 คาดว่าราคาน้ำมันดิบดูไบมีโอกาสปรับตัวขึ้นได้ที่ 75–85 ดอลลาร์ สรอ. ต่อบาร์เรล ตามความต้องการใช้น้ำมันดิบตามฤดูกาล อย่างไรก็ดียังมีปัจจัยอื่นที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ได้แก่ การเติบโตของเศรษฐกิจโลก นโยบายและความเข้มงวดในการควบคุมกำลังการผลิตน้ำมันดิบของกลุ่มสมาชิก OPEC+ ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์หรือภัยก่อการร้ายที่อาจส่งผลกระทบต่ออุปทานน้ำมันดิบ เป็นต้น
ด้านอุปสงค์ คาดว่าในปี 2567 จะมีความต้องการการใช้น้ำมันดิบมากขึ้นเฉลี่ย 1-1.2 ล้านบาร์เรลต่อวันจากการเติบโตเศรษฐกิจของประเทศกำลังพัฒนาในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จีน และอินเดีย ที่ยังคงนำเข้าน้ำมันดิบในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม การเติบโตเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว เช่น สหรัฐอเมริกา สภาพยุโรป และสหราชอาณาจักร มีแนวโน้มชะลอตัวลงจากอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่อยู่ในระดับสูง ส่งผลต่อการเติบโตของเศรษฐกิจและอาจมีความกังวลเรื่องเศรษฐกิจถดถอยตามมาได้ ซึ่งเป็นแรงกดดันอุปสงค์น้ำมันดิบ อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าอัตราดอกเบี้ยในปัจจุบันอยู่ในระดับสูงสุดแล้ว และจะมีการปรับดอกเบี้ยลดลงในช่วงปี 2567
ด้านอุปทาน คาดว่าปี 2567 จะมีการผลิตนำมันดิบเข้าสู่ตลาดมากขึ้นเฉลี่ย 1-1.2 ล้านบาร์เรลต่อวันจากกลุ่มประเทศนอกสมาชิก OPEC+ เช่น ประเทศสหรัฐอเมริกา แคนาดา บราซิล นอร์เวย์ และกายอานา ที่มีแนวโน้มเพิ่มกำลังการผลิตอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี ในขณะที่มีข้อตกลงของกลุ่มสมาชิก OPEC+ ในการลดกำลังการผลิตร่วมกันกว่า 1.7 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งประกอบด้วย ประเทศซาอุดิอาระเบีย 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน ประเทศรัสเซีย 0.3 ล้านบาร์เรลต่อวัน และกลุ่มประเทศสมาชิกอื่น ๆอีก 0.4 ล้านบาร์เรลต่อวันจะสิ้นสุดลงในไตรมาส 1 ปี 2567 และคาดการณ์ว่ากลุ่มสมาชิก OPEC+ จะมีการควบคุมการผลิตน้ำมันดิบอย่างเข้มงวด ทั้งนี้ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างรัสเซีย-ยูเครน และอิสราเอล-กลุ่มฮามาส ยังคงอยู่ในวงจำกัด และไม่กระทบต่ออุปทานที่มาจากประเทศผู้ผลิตน้ำมันดิบ ณ ปัจจุบัน
***ปันผลอีก 5.25 บาท
คณะกรรมการบริษัทได้เสนอจ่ายเงินปันผลประจำปี 2566 สำหรับผลการดำเนินงานรวมของกลุ่มบริษัทในอัตราหุ้นละ 9.50 บาท และให้นำเสนอขออนุมัติจากที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2567 ต่อปี ทั้งนี้ บริษัทได้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลสำหรับงวด 6 เดือนแรกของปี 2566 ไปแล้วในอัตราหุ้นละ 4.25 บาท จึงยังคงต้องจ่ายที่เหลืออีกในอัตราหุ้นละ 5.25 บาท โดยจ่ายจากกำไรสะสมที่ยังไม่ได้จัดสรรที่ผ่านการเสียภาษีเงินได้ตาม พ.ร.บ. ภาษีเงินได้ปิโตรเลียมทั้งจำนวน* จะขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 19 ก.พ. 2567 และกำหนดให้วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2567 เป็นวันให้สิทธิผู้ถือหุ้น (Record Date) ในการรับเงินปันผล และจะจ่ายเงินปันผลที่อัตรา 5.25 บาทต่อหุ้นในวันที่ 22 เมษายน 2567 เมื่อได้รับการอนุมัติจากที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2567 แล้ว