ดาวโจนส์ปิดบวก 28.67 จุด นักลงทุนจับตาประชุมเฟดสัปดาห์หน้า

27 ม.ค. 2566 | 23:56 น.

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกในวันศุกร์ (27 ม.ค.) ขานรับรายงานผลประกอบการไตรมาส 4 บริษัทจดทะเบียนดีกว่าคาด นักลงทุนจับตาการประชุมเฟดในสัปดาห์หน้า

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ปิดที่ 33,978.08 จุด เพิ่มขึ้น 28.67 จุด หรือ +0.08%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,070.56 จุด เพิ่มขึ้น 10.13 จุด หรือ +0.25% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 11,621.71 จุด เพิ่มขึ้น 109.30 จุด หรือ +0.95% ในรอบสัปดาห์นี้ ดัชนีดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 1.8%, ดัชนี S&P500 บวก 2.5% และดัชนี Nasdaq พุ่งขึ้น 4.3%

ดัชนีดาวโจนส์และ S&P500 ปรับตัวขึ้นเป็นสัปดาห์ที่ 3 ขณะที่ดัชนี Nasdaq ปรับตัวขึ้นเป็นสัปดาห์ที่ 4 ติดต่อกัน ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นรายสัปดาห์ต่อเนื่องยาวนานที่สุดนับตั้งแต่เดือนส.ค. ตั้งแต่ต้นปีจนถึงขณะนี้ ดัชนีดาวโจนส์บวก 2.5%, ดัชนี S&P500 เพิ่มขึ้น 6% และดัชนี Nasdaq พุ่งขึ้น 11%
         
นายไรอัน ดีทริค หัวหน้านักวิเคราะห์ตลาดของคาร์สัน กรุ๊ปในโอมาฮากล่าวว่า "เงินเฟ้อยังคงชะลอตัวลงอย่างรวดเร็ว และได้ช่วยคลายความวิตกอย่างมากเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจ"

ตลาดได้แรงหนุนจากการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐที่บ่งชี้ว่าอุปสงค์และเงินเฟ้อชะลอตัวลง ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด
          
กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนี PCE ทั่วไป ซึ่งรวมหมวดอาหารและพลังงาน ปรับตัวขึ้น 5.0% ในเดือนธ.ค. เมื่อเทียบรายปี และชะลอตัวจากระดับ 5.5% ในเดือนพ.ย.  เมื่อเทียบรายเดือน ดัชนี PCE ทั่วไป เพิ่มขึ้น 0.1% ในเดือนธ.ค. หลังจากเพิ่มขึ้น 0.1% เช่นกันในเดือนพ.ย.
          
ส่วนดัชนี PCE พื้นฐาน ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน และเป็นมาตรวัดอัตราเงินเฟ้อที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ให้ความสำคัญ เพิ่มขึ้น 4.4% ในเดือนธ.ค. เมื่อเทียบรายปี สอดคล้องกับตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ หลังจากเพิ่มขึ้น 4.7% ในเดือนพ.ย. เมื่อเทียบรายเดือน ดัชนี PCE พื้นฐานปรับตัวขึ้น 0.3% ในเดือนธ.ค. สอดคล้องกับตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ หลังจากเพิ่มขึ้น 0.2% ในเดือนพ.ย.

ทั้งนี้ ดัชนี PCE ถือเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่สามารถตรวจจับการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมของผู้บริโภค และครอบคลุมราคาสินค้าและบริการในวงกว้างมากกว่าข้อมูลดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI)
          
นักวิเคราะห์กล่าวว่า ข้อมูล PCE ที่ชะลอตัวจะเปิดโอกาสให้เฟดยุติการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเชิงรุก
          
อย่างไรก็ตาม นายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ระบุอย่างชัดเจนว่า การต่อสู้ของเฟดกับเงินเฟ้อที่สูงสุดในรอบหลายสิบปีนั้นยังอีกยาวนานกว่าจะสิ้นสุด
          
ตลาดการเงินยังคงเชื่อว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นขึ้นอีก 0.25% ในการประชุมสัปดาห์หน้า (31 ม.ค.-1 ก.พ.)

นอกจากนี้ ตลาดจะยังคงจับตาการรายงานผลประกอบการไตรมาส 4/2565 ของบริษัทจดทะเบียน โดยบริษัท 143 แห่งในดัชนี S&P500 รายงานผลประกอบการออกมาแล้ว ซึ่ง 67.8% รายงานผลประกอบการเหนือความหมาย

หุ้น 6 ใน 11 กลุ่มของดัชนี S&P500 ปิดบวก โดยกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยและกลุ่มอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้น 2.27% และ 0.94% ตามลำดับ ขณะที่หุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวลงมากที่สุด 1.99%
          
 ส่วนในสัปดาห์หน้า นักลงทุนจะมุ่งความสนใจไปที่การประชุมเฟด, ข้อมูลการจ้างงานเดือนม.ค. และการรายงานผลประกอบการของบริษัทชั้นนำ อาทิ แอปเปิ้ล, อะเมซอน.คอม, อัลฟาเบท และเมตา แพลตฟอร์ม