ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ ที่ระดับ 34.41 บาทต่อดอลลาร์

04 ม.ค. 2566 | 00:55 น.

เงินบาทแข็งค่าได้แรงหนุนจากความหวัง จากการกลับมาฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวจีนและโฟลว์ธุรกรรมขายทำกำไรทองคำ

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้(4ม.ค.2566) ที่ระดับ 34.41 บาทต่อดอลลาร์ "แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย”จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 34.44 บาทต่อดอลลาร์

 

นายพูน   พานิชพิบูลย์   นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน  ธนาคารกรุงไทยระบุว่าแนวโน้มค่าเงินบาท เรามองว่า การแข็งค่าขึ้นเล็กน้อยของเงินบาทในช่วงคืนที่ผ่านมา ได้แรงหนุนจากโฟลว์ธุรกรรมขายทำกำไรทองคำ 

ซึ่งช่วยลดแรงกดดันจากการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ทั้งนี้ ในระยะสั้น เงินบาทอาจพอได้แรงหนุนฝั่งแข็งค่าจากความหวังการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว จากการกลับมาของนักท่องเที่ยวจีน

 

ซึ่งสะท้อนผ่านมุมมองของผู้เล่นต่างชาติที่ยังต้องการเพิ่มสถานะ Short USDTHB (มองเงินบาทแข็งค่า)

 

รวมถึงแรงซื้อหุ้นไทยสุทธิ โดยเฉพาะหุ้นในธีม Reopening ทำให้เงินบาทก็มีโอกาสแข็งค่าทดสอบแนวรับในโซน 34.25-34.30 บาทต่อดอลลาร์ได้

 

(เงินบาทแข็งค่าทดสอบโซนดังกล่าวในวันก่อน หลังแข็งค่าหลุด 34.50 บาทต่อดอลลาร์ ตามที่เราประเมินไว้)

อย่างไรก็ดี ควรระมัดระวังความผันผวนที่อาจเกิดขึ้น หากตลาดปิดรับความเสี่ยงมากขึ้นและหนุนให้เงินดอลลาร์มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องได้

 

แต่เรามองว่า หากเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น ก็อาจไม่ได้กดดันให้เงินบาทอ่อนค่าไปมากทะลุโซนแนวต้านแถว 34.50-34.60 บาทต่อดอลลาร์ ไปได้ง่ายนัก
 

อนึ่ง การเคลื่อนไหวของเงินบาทที่ผันผวนสูงในช่วงที่ผ่านมาได้สะท้อนถึงความจำเป็นของการใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น

 

ทำให้เราคงแนะนำ ผู้ประกอบการควรใช้กลยุทธ์ป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะการใช้ Options ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงได้ดีในช่วงที่ตลาดผันผวนหนัก
 

มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.30-34.50 บาท/ดอลลาร์


 
ตลาดการเงินสหรัฐฯ ยังคงอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง (Risk-Off) ท่ามกลางความกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอตัวลง

 

และความกังวลแนวโน้มการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยของเฟด (ซึ่งผู้เล่นในตลาดจะรอจับตารายงานการประชุมเฟดล่าสุดและรายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ) ทำให้ ดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.40%

 

นอกจากนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังเผชิญแรงกดดันจากการปรับตัวลงของหุ้นใหญ่ อาทิ Tesla -12% หลังยอดการส่งมอบรถยนต์ขยายตัวน้อยกว่าคาด และ Apple -3.7%

 

จากความกังวลผลกระทบของการระบาด COVID-19 ในจีนต่อการผลิตสินค้าของ Apple รวมถึงแนวโน้มความต้องการซื้อ iPhone ที่ลดลง


 
ส่วนในทางด้านตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 พลิกกลับมาปรับตัวขึ้นกว่า +1.22% หนุนโดยการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่ม Healthcare (Novo Nordisk +2.8%, Novartis +2.7%)

 

ท่ามกลางความกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ทำให้ผู้เล่นในตลาดต่างต้องการถือหุ้นกลุ่ม Defensive อย่าง กลุ่ม Healthcare

 

ตลาดหุ้นยุโรปเผชิญแรงกดดันจากการปรับตัวลงแรงของหุ้นกลุ่มพลังงาน (Equinor -5.6%, TotalEnergies -1.7%) ตามการปรับตัวลงของราคาน้ำมันดิบจากความกังวลสถานการณ์การระบาดของ COVID-19 ในจีน รวมถึงการปรับตัวแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์
 

ในฝั่งตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก หลังตลาดการเงินสหรัฐฯ ยังคงอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง

 

และผู้เล่นในตลาดต่างรอจับตาทิศทางนโยบายการเงินของเฟด ผ่านรายงานการประชุมเฟดล่าสุดและรายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ

 

โดยล่าสุด ดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ได้ปรับตัวขึ้นใกล้ระดับ 104.5 จุด อีกครั้ง อย่างไรก็ดี แม้ว่าเงินดอลลาร์จะแข็งค่าขึ้น แต่ภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดและบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ที่ทรงตัวใกล้ระดับ 3.76% ได้ช่วยหนุนให้ ราคาทองคำ

 

(สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ก.พ.) สามารถปรับตัวขึ้นและแกว่งตัวใกล้ระดับ 1,842 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และมีบางจังหวะที่ราคาทองคำปรับตัวขึ้นใกล้โซนแนวต้านแถว 1.850 ดอลลาร์ต่อออนซ์

 

ทำให้เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดบางส่วนอาจทยอยขายทำกำไรทองคำและโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวก็มีส่วนช่วยให้เงินบาทแข็งค่าขึ้น แม้ว่าเงินดอลลาร์จะแข็งค่าขึ้นก็ตาม


 
สำหรับวันนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญในฝั่งสหรัฐฯ ทั้งดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตอุตสาหกรรม โดย ISM (Manufacturing PMI) เดือนธันวาคม

 

และยอดเปิดรับสมัครงาน (JOLTs Job Openings) ในเดือนพฤศจิกายน  ซึ่งตลาดประเมินว่า แนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ และเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลงมากขึ้น อาจส่งผลให้ กิจกรรมทางเศรษฐกิจในภาคการผลิตอุตสาหกรรมยังคงหดตัวต่อเนื่อง

 

สะท้อนผ่าน ดัชนี PMI ภาคการผลิตที่จะปรับตัวลดลงสู่ระดับ 48.5 จุด (ดัชนีต่ำกว่า 50 จุด หมายถึง ภาวะหดตัว)

 

นอกจากนี้ ผลกระทบจากแนวโน้มเศรษฐกิจชะลอตัวก็จะส่งผลให้หลายบริษัทปรับแผนการจ้างงานมากขึ้น ทำให้ ยอดเปิดรับสมัครงานมีแนวโน้มปรับตัวลดลงต่อเนื่องสู่ระดับ 10 ล้านตำแหน่ง

 

จากที่เคยแตะระดับสูงถึง 11.9 ล้านตำแหน่ง สะท้อนว่าตลาดแรงงานสหรัฐฯ เริ่มตึงตัวน้อยลง แต่โดยรวมก็ยังมีความแข็งแกร่งอยู่

 

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่าเงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 34.33-34.35 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (8.46 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 34.41 บาทต่อดอลลาร์ฯ

 

โดยเงินบาทลดช่วงแข็งค่ามาบางส่วน (เมื่อเทียบกับระดับแข็งค่าสุดในรอบ 7 เดือนที่ทำไว้ที่ 34.29 บาทต่อดอลลาร์ฯ เมื่อวานที่ผ่านมา) ขณะที่แรงซื้อคืนเงินดอลลาร์ฯ ในฐานะสกุลเงินปลอดภัยกลับคืนมาบางส่วน

 

เนื่องจากตลาดกลับมากังวลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจถดถอย อย่างไรก็ดี คงต้องระมัดระวังกรอบการเคลื่อนไหวในระหว่างวันที่ยังอาจมีความผันผวนได้

 

สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ คาดไว้ที่ 34.30-34.50 บาทต่อดอลลาร์ฯ

 

ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ทิศทางเงินทุนต่างชาติ สถานการณ์โควิดในจีน และการเคลื่อนไหวของสกุลเงินเอเชีย ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจต่างประเทศที่สำคัญ ได้แก่ ดัชนี PMI ภาคการบริการเดือนธ.ค.ของยุโรป

 

รวมถึงตัวเลขการเปิดรับสมัครงานและอัตราการหมุนเวียนของแรงงานเดือนพ.ย. ดัชนี PMI /ISM ภาคบริการเดือนธ.ค. ของสหรัฐฯ และรายงานการประชุมเฟด

 

กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 34.25-34.55บาท/ดอลลาร์ 

 


ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นในวันอังคาร จับตารายงานการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่จะออกมาในวันพุธนี้ 


การประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในครั้งนี้ อาจจะไม่ส่งผลกระทบต่อตลาดได้มากเท่ากับตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร ที่กระทรวงแรงงานสหรัฐจะรายงานออกมาในวันศุกร์นี้ 

 

และดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ที่สหรัฐจะออกมารายงานในวันที่ 12 มกราคม
ค่าเงินยูโรดิ่งลง ในขณะที่สำนักงานสถิติของรัฐบาลกลางเยอรมนีรายงานว่า อัตราเงินเฟ้อชะลอตัวลงในเดือนธันวาคมเป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกัน โดยเป็นผลจากการร่วงลงของราคาพลังงาน