เงินบาทยังผันผวน จับตา 4 ปัจจัยสัปดาห์หน้าเขย่าตลาดเงิน

19 ต.ค. 2568 | 06:14 น.
อัปเดตล่าสุด :19 ต.ค. 2568 | 06:27 น.

เงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบ ก่อนอ่อนค่าท้ายสัปดาห์ จากแรงขายสุทธิหุ้นไทยของต่างชาติและแรงซื้อคืนดอลลาร์ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จับตา 4 ปัจจัยสำคัญสัปดาห์หน้า ทั้งตัวเลขส่งออกเดือนกันยายน ราคาทองคำโลก ฟันด์โฟลว์ และชัตดาวน์สหรัฐฯ

KEY

POINTS

  • ค่าเงินบาทสัปดาห์หน้าคาดว่าจะเคลื่อนไหวผันผวนในกรอบ 32.40-33.00 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ
  • ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามซึ่งจะส่งผลต่อค่าเงินบาท ได้แก่ ตัวเลขการส่งออกเดือนกันยายนของไทย และราคาทองคำในตลาดโลก
  • ทิศทางเงินทุนเคลื่อนย้ายของนักลงทุนต่างชาติ (ฟันด์โฟลว์) และสถานการณ์ชัตดาวน์ของหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ เป็นอีกสองปัจจัยที่ต้องจับตา

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยรายงานว่า เงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบ ก่อนอ่อนค่าท้ายสัปดาห์ โดยช่วงต้นสัปดาห์เงินบาทอ่อนค่าชั่วคราว ตามแรงขายสุทธิหุ้นไทยของนักลงทุนต่างชาติ และแรงซื้อคืนเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ก่อนถ้อยแถลงของประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)

จากนั้นเงินบาทพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นในช่วงกลางสัปดาห์ สอดคล้องกับราคาทองคำในตลาดโลกที่ปรับขึ้นทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ครั้งใหม่ ขณะที่เงินดอลลาร์อ่อนค่าลง หลังประธานเฟดแสดงความกังวลต่อสัญญาณอ่อนแอของตลาดแรงงานสหรัฐฯ ซึ่งกระตุ้นให้ตลาดเพิ่มการคาดการณ์เกี่ยวกับโอกาสการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟดในการประชุม FOMC เดือนตุลาคมนี้

ความตึงเครียดจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน รวมถึงความเสี่ยงการชัตดาวน์ของหน่วยงานราชการสหรัฐฯ ยังคงเป็นปัจจัยลบต่อค่าเงินดอลลาร์ และส่งผลให้เงินบาทลดช่วงบวก ก่อนอ่อนค่ากลับในช่วงปลายสัปดาห์ สอดคล้องกับทิศทางสกุลเงินในภูมิภาคเอเชีย

เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2568 เงินบาทปิดตลาดที่ 32.68 บาทต่อดอลลาร์ เทียบกับ 32.72 บาทต่อดอลลาร์ในวันศุกร์ก่อนหน้า (10 ตุลาคม) โดยนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทย 5,186 ล้านบาท และมีสถานะเป็น Net Inflows เข้าตลาดพันธบัตร 1,312 ล้านบาท (ซื้อสุทธิพันธบัตร 1,978 ล้านบาท และตราสารหนี้ครบกำหนด 666 ล้านบาท)

สำหรับสัปดาห์หน้า (20–24 ตุลาคม 2568) ธนาคารกสิกรไทยคาดกรอบการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทที่ระดับ 32.40–33.00 บาทต่อดอลลาร์ ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่าปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามได้แก่ ตัวเลขการส่งออกเดือนกันยายน ราคาทองคำในตลาดโลก ฟันด์โฟลว์ของต่างชาติ และสถานการณ์ชัตดาวน์ของสหรัฐฯ

ด้านตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่คาดว่าจะไม่ถูกกระทบจากชัตดาวน์ ได้แก่ ยอดขายบ้านมือสองเดือนกันยายน ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคและการคาดการณ์เงินเฟ้อจากมหาวิทยาลัยมิชิแกน และข้อมูลดัชนี PMI เบื้องต้นเดือนตุลาคม

ขณะเดียวกัน ปัจจัยต่างประเทศอื่น ๆ ที่ต้องติดตาม ได้แก่ การประกาศอัตราดอกเบี้ย LPR ของจีน รวมถึงข้อมูลเศรษฐกิจจีน เช่น จีดีพีไตรมาส 3 การผลิตภาคอุตสาหกรรม ยอดค้าปลีกเดือนกันยายน อัตราเงินเฟ้อของอังกฤษและญี่ปุ่น และข้อมูล PMI เบื้องต้นเดือนตุลาคมของญี่ปุ่น ยูโรโซน และอังกฤษ

ด้านตลาดหุ้นไทย ดัชนีเคลื่อนไหวผันผวนต่อเนื่อง ก่อนปรับตัวลดลงช่วงท้ายสัปดาห์ โดย SET Index ร่วงลงแรงช่วงต้นสัปดาห์ ตามทิศทางตลาดหุ้นภูมิภาค ท่ามกลางความกังวลต่อสงครามการค้าสหรัฐฯ–จีน หลังจีนเข้มงวดการส่งออกแร่หายาก และสหรัฐฯ เตรียมเก็บภาษีนำเข้าจากจีนเพิ่มเติม ปัจจัยดังกล่าวกดดันหุ้นหลายกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มพลังงานที่ได้รับแรงกดดันเพิ่มจากราคาน้ำมันโลกที่ลดลง

ช่วงกลางสัปดาห์ดัชนีหุ้นไทยฟื้นตัวชั่วคราว จากกระแสข่าวการประชุมครม.เศรษฐกิจนัดแรก ที่สร้างความหวังต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ รวมถึงแรงหนุนจากคาดการณ์การปรับลดดอกเบี้ยของเฟด ทำให้เกิดแรงซื้อเก็งกำไรในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและธนาคาร ก่อนประกาศผลประกอบการไตรมาส 3/2568

อย่างไรก็ดี ปลายสัปดาห์ดัชนีกลับมาร่วงลงอีกครั้ง จากแรงกังวลต่อสถานการณ์ชัตดาวน์ของสหรัฐฯ ที่ยังยืดเยื้อ และความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ–จีนที่ยังไม่คลี่คลาย

เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2568 ดัชนี SET ปิดที่ 1,274.61 จุด ลดลง 0.96% จากสัปดาห์ก่อนหน้า มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 39,738.04 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.67% ส่วนดัชนี mai ลดลง 3.87% ปิดที่ 233.02 จุด

บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทยประเมินแนวรับดัชนี SET ที่ 1,265 และ 1,230 จุด ส่วนแนวต้านที่ 1,300 และ 1,315 จุด โดยมีปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ผลประกอบการไตรมาส 3 ของบริษัทจดทะเบียน โดยเฉพาะกลุ่มธนาคาร สถานการณ์ชัตดาวน์ในสหรัฐฯ และทิศทางเงินทุนต่างชาติ รวมถึงข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญจากต่างประเทศ เช่น ดัชนีราคาผู้บริโภคเดือนกันยายนของญี่ปุ่น ดัชนี PMI เดือนตุลาคมของญี่ปุ่น ยูโรโซน อังกฤษและสหรัฐฯ ตลอดจนข้อมูลจีดีพีและอัตราดอกเบี้ย LPR ของจีน