นักวิชาการจี้ ธปท. หาต้นตอเงินไหลเข้า-ออก เตือนเสี่ยงต่อนโยบายการเงิน

22 ก.ย. 2568 | 02:11 น.
อัปเดตล่าสุด :22 ก.ย. 2568 | 02:11 น.

อนุสรณ์กระทุ้ง ธปท. หาต้นตอเงินไหลเข้า-ออก หลังมีความคลาดเคลื่อนสูงถึงไตรมาสละ 3-4 พันล้านดอลลาร์ เตือนเสี่ยงต่อนโยบายการเงิน

KEY

POINTS

  • นักวิชาการเรียกร้องให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ตรวจสอบที่มาของเงินทุนไหลเข้า-ออกที่ไม่สามารถระบุได้ ซึ่งสะท้อนจากตัวเลขข้อมูลคลาดเคลื่อนสุทธิในดุลการชำระเงิน (NEO) ที่สูงขึ้นต่อเนื่อง
  • การไม่ทราบที่มาของเงินทุนดังกล่าวสร้างความเสี่ยงต่อการดำเนินนโยบายการเงิน ทำให้การบริหารอัตราแลกเปลี่ยนขาดประสิทธิภาพ และอาจเกี่ยวข้องกับธุรกิจสีเทาหรือการฟอกเงิน
  • ธปท. ควรประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น ปปง. เพื่อตรวจสอบและสร้างความโปร่งใส ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นต่อการสร้างความเชื่อมั่นเพื่อเป้าหมายการเป็นศูนย์กลางทางการเงินของประเทศ

รศ. ดร. อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ในฐานะอดีตกรรมการและกรรมการตรวจสอบ ธนาคารแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า หากทางการและธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ไม่สามารถอธิบายและเข้าใจ ข้อมูลคลาดเคลื่อนสุทธิในดุลการชำระเงิน (Net Errors and Omissions: NEO) ที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา และมีความคลาดเคลื่อนสูงถึงไตรมาสละ 3-4 พันล้านดอลลาร์ คือ ไม่ทราบชัดเจนถึงเม็ดเงินที่มาที่ไปของเงินไหลเข้าออกย่อมเกิดความเสี่ยงต่อการดำเนินนโยบายการเงิน ทำให้ประสิทธิภาพการบริหารนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนไม่มีประสิทธิภาพ และแก้ปัญหาเงินบาทผันผวนไม่ตรงจุด 

การทำความเข้าใจต่อข้อมูลที่คลาดเคลื่อนในดุลการชำระเงินจึงเป็นเรื่องที่มีความสำคัญ โดยเฉพาะ ข้อมูลคลาดเคลื่อนนี้เกิดขึ้นต่อเนื่องเป็นเวลา 3-4 ปีและมีขนาดค่อนข้างใหญ่ ส่วนเงินไหลเข้าไหลออกเหล่านี้เป็นเงินสีเทา หรือเกี่ยวข้องกับธุรกรรมการฟอกเงินหรือไม่ ก็ต้องมีการตรวจสอบและกำกับให้ชัดเจน หรืออาจเป็นเพียงการทำธุรกรรมนอกระบบที่ไม่ผิดกฎหมาย เป็นหน้าที่โดยตรงของธปท.ต้องประสานความร่วมมือกับ สำนักงาน ปปง. และหน่วยงานเกี่ยวข้องเร่งแก้ไขปัญหาดังกล่าว 

ความคลาดเคลื่อนสุทธิในดุลการชำระเงินอาจลดลงได้ด้วยการบันทึกธุรกรรมดุลการชำระเงินในระบบออนไลน์รวมศูนย์ และลดขนาดของการเก็บข้อมูลสถิติจากการสำรวจแบบ Survey Base การทำให้ธุรกรรรมส่วนใหญ่อยู่ในระบบออนไลน์รวมศูนย์จะทำให้เกิดการตรวจสอบได้ง่ายขึ้น โปร่งใสขึ้น 

มีคนจำนวนไม่น้อยเชื่อว่า ประเทศไทยเป็นแหล่งของการฟอกเงินขององค์กรอาชญากรรมข้ามชาติหรือการทำธุรกิจสีเทา จำเป็นอย่างยิ่งที่หน่วยงานเกี่ยวข้องต้องพัฒนาระบบกฎหมาย ระบบการกำกับควบคุมและกลไกเพื่อป้องกันไม่ให้ประเทศไทยกลายเป็นฐานของการฟอกเงิน หากไทยตั้งเป้าจะเป็น ศูนย์กลางทางการเงินและการลงทุนในอนาคตจำเป็นต้องแก้ปัญหาเหล่านี้ให้ได้และสร้างความเชื่อมั่นให้เกิดขึ้น 

นักวิชาการจี้ ธปท. หาต้นตอเงินไหลเข้า-ออก เตือนเสี่ยงต่อนโยบายการเงิน

โดยช่วง 10 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2568 รัฐบาลเก็บภาษีได้ต่ำกว่าเป้าหมายหรือที่ประมาณการเอาไว้ 37,637 ล้านบาท ทำให้รัฐบาลต้องกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลจำนวน 827,805 ล้านบาท เนื่องจากมีการเบิกจ่ายใช้งบประมาณไป 3,165,629 ล้านบาท มีรายได้ส่งเข้าคลังเพียง 2,248,003 ล้านบาท 

สิ่งนี้สะท้อนถึงภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว รายได้จากภาษีเงินได้นิติบุคคลต่ำกว่าเป้าหมาย ผลกำไรของบริษัทต่างๆลดลง มีการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีมาก หากสถานการณ์เก็บภาษีได้ต่ำกว่าเป้าหมายเกิดขึ้นต่อเนื่องไปอีกในช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปีงบประมาณ และอาจเกิดขึ้นอีกในปีงบประมาณปี 2569 การใช้จ่ายงบประมาณแนวประชานิยมที่ไม่คำนึงถึงวินัยการเงินการคลังต้องไม่เกิดขึ้น เพราะอาจนำไปสู่ปัญหาฐานะทางการคลังและวิกฤติทางการคลังที่อาจมาเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้เดิม รัฐบาลต้องรักษาพื้นที่ทางการคลังเอาไว้เพื่อใช้จ่ายในมาตรการหรือโครงการที่จำเป็นที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งเวลานี้ก็เริ่มมองเห็นแล้วว่า รัฐบาลต้องใช้งบประมาณจำนวนไม่น้อยในการบรรเทาผลกระทบจากอุทกภัยต่อประชาชนในหลายพื้นที่  

แม้จะเก็บภาษีไม่ได้ตามเป้าแต่การนำส่งรายได้ของรัฐวิสาหกิจสูงกว่าเป้าหมาย เราสามารถเพิ่มรายได้ของรัฐพร้อมเพิ่มการให้บริการประชาชนด้วยการการปฏิรูประบบสาธารณูปโภคสาธารณูปการให้ดียิ่งขึ้น การปฏิรูปต้องทำให้บริการประชาชนได้ดีขึ้น ทั่วถึงและเพียงพอ ลดภาระการคลัง ลดการผูกขาดโดยรัฐ เพิ่มการแข่งขันโดยเอกชน การปฏิรูประบบสาธารณูปโภคสาธารณูปการจึงต้องเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดสรรทรัพยากร (Allocative Efficiency) และประสิทธิภาพทางเทคนิค (Technical Efficiency) ในการดำเนินกิจการ เพื่อลดภาระทางการคลัง (Fiscal Burden) บรรเทาปัญหาการตั้งราคาที่ต่ำกว่าต้นทุน (Underpricing) 

เมื่อมีการแข่งขันผู้ประกอบการแต่ละรายแข่งขันกันอยู่บนพื้นฐานของต้นทุน นอกจากนี้ การปฏิรูปทำให้เกิดโอกาสของการจัดหาสาธารณูปโภคสาธารณูปการที่มีคุณภาพดีขึ้น สามารถมีเงินทุนมาลงทุนขยายกิจการให้ทั่วถึงเพียงพอโดยไม่ต้องอาศัยเงินงบประมาณ เป็นการเพิ่มสวัสดิการทางสังคม การปฏิรูปต้องครอบคลุมสามมิติ ปฏิรูปโครงสร้าง ปฏิรูปการกำกับดูแล ปฏิรูปความเป็นเจ้าของ การเปิดเสรีและการส่งเสริมการลงทุนเพื่อให้มีการแข่งขันกันยังสามารถช่วยลดปัญหาค่าเช่าทางเศรษฐกิจ พฤติกรรมการแสวงหาค่าเช่าทางเศรษฐกิจมักเกิดขึ้นเสมอในระบบเศรษฐกิจ 

โดยประชาชน สังคมและระบบเศรษฐกิจไม่ได้ประโยชน์จากการล็อบบี้หรือวิ่งเต้นให้มีออกมาตรการหรือนโยบายที่กลุ่มผลประโยชน์ของตัวเองได้ประโยชน์แต่เป็นต้นทุนของกลุ่มอื่นๆในสังคม สิ่งนี้มักเกิดขึ้นในโครงสร้างทางเศรษฐกิจและการเมืองที่มีการผูกขาดสูง การเปิดเสรีและส่งเสริมการแข่งขันจึงช่วยลดปัญหาจากพฤติกรรมการแสวงหาค่าเช่าทางเศรษฐกิจ