“รักษ์ วรกิจโภคาทร” แม่ทัพคนใหม่ BAM จากนายแบงก์สู่มือบริหารหนี้เสีย

02 ก.ค. 2568 | 09:08 น.
อัปเดตล่าสุด :02 ก.ค. 2568 | 09:08 น.

ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร CEO BAM ปรับกลยุทธ์บริหารหนี้เสีย เน้นให้โอกาสลูกหนี้ผ่านการปรับโครงสร้างหนี้ พร้อมเพิ่มอัตราการเก็บเงินและร่วมลงทุนกับ Non-Bank และ High Net Worth เพื่อฟื้นฟูธุรกิจ SME ที่ประสบปัญหาทางการเงิน.

ในโลกของการเงินและการบริหารธุรกิจ การเปลี่ยนผ่านจากบทบาทหนึ่งไปยังบทบาทใหม่สามารถเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของทั้งตัวบุคคลและองค์กร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวงการบริหารสินทรัพย์และหนี้เสีย ที่มีการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

นี่คือเรื่องราวของดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM ที่เข้ามารับตำแหน่งในวันที่ 16 เมษายน 2568 

ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

ก่อนเข้ามารับตำแหน่งใน BAM ดร.รักษ์เคยทำงานในฐานะ “นายธนาคาร” ที่มีหน้าที่บริหารการเงินในธุรกิจที่มุ่งเน้นการจัดการหนี้ที่ดีหรือ “bad in good” ซึ่งหมายถึงการจัดการกับปัญหาหนี้ที่เกิดขึ้นจากลูกค้าที่มีประวัติทางการเงินดี 

แต่ในโลกของการบริหารหนี้เสียที่ BAM เขาได้เปลี่ยนมุมมองไปสู่การบริหารหนี้ที่มีความท้าทายมากขึ้น โดยมุ่งเน้นไปที่การหา “good in bad” หรือการมองหาความดีในสถานการณ์ที่เต็มไปด้วยปัญหาหนี้เสียและลูกหนี้ที่ประสบปัญหาทางการเงิน  

ดร.รักษ์ให้สัมภาษณ์พิเศษ“ฐานเศรษฐกิจ”ว่า การดำเนินธุรกิจของของ BAM จะมุ่งเน้นพลังงานไปที่ “การหาความดีในความที่เป็นข้อเสียของจักรวาล AMC” และ “โฟกัสกับลูกหนี้ที่มีโอกาสที่จะรอด” ซึ่งแตกต่างจากแนวคิดเดิมของนายธนาคาร ที่มักจะเน้นการนำคนร้าย หรือหนี้เสียออกจากบ้านให้เร็วที่สุด 

โดยฉายภาพว่า ปัจจุบันหนี้ครัวเรือนอยู่ที่ประมาณ 87-88% ของ GDP แต่มีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นเป็น 90-91% หลังจากมาตรการช่วยเหลือภาครัฐ เช่น โครงการคุณสู้ เราช่วย และมาตรการฟ้าส้ม หรือมาตรการแก้หนี้ยั่งยืน บางโครงการจะหมดลงในเดือนนี้ 

“จากสถิติของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) และข้อมูลเครดิตแห่งชาติ (NCB) พบว่า success rate ในการช่วยคนกลุ่มนี้ ไม่ถึง 20% ฉะนั้น อาจจะมีหนี้ประชาชนอีกจำนวนหนึ่งที่ไหลลงมา ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะส่งผลให้หนี้ครัวเรือนเพิ่มขึ้น เป็น 90-91%” 

อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ดังกล่าวไม่ได้น่าวิตกกังวลมากนัก เพราะเรายังมีระบบของการบริหารหนี้เสีย (AMC) ทั้ง 87 แห่ง ซึ่ง BAM ก็พร้อมรับมือกับหนี้ครัวเรือนที่จะไหลเข้ามามากขึ้น

โดยเน้นให้โอกาสลูกหนี้ ผ่านการปรับโครงสร้างหนี้ เพื่อลดภาระการจ่ายในแต่ละเดือนของลูกหนี้ หรือลดอัตราส่วนหนี้ต่อรายได้ (Debt to Income) ของลูกหนี้ เช่น จากเดิมที่เคยชำระ 90 บาท ใน 100 บาท ให้เหลือ ไม่เกิน 70 บาท ทำให้ลูกหนี้มีเงินเหลือ 30 บาท สำหรับดำรงชีพและบริหารจัดการธุรกิจขนาดเล็กได้ 

“รักษ์ วรกิจโภคาทร” แม่ทัพคนใหม่ BAM จากนายแบงก์สู่มือบริหารหนี้เสีย

นอกจากนี้ BAM อยู่ระหว่างผลักดันร่วมกับ NCB เพื่อขอรหัสลูกหนี้รายย่อยที่ปรับโครงสร้างหนี้ “ชั้นดี” เป็นรหัส 54 สำหรับลูกหนี้ NPL ที่ได้รับการขายหนี้มาที่ AMC และผ่อนชำระหนี้ตามปกติเป็นเวลา 12 งวด เพื่อให้พวกเขาสามารถเข้าถึงสินเชื่อใหม่จาก Non-Bank หรือสถาบันการเงินที่ยอมรับความเสี่ยงได้มากขึ้นได้ 

ด้านหนี้เสียธุรกิจนั้น BAM ได้ปรับกลยุทธ์การบริหารหนี้ โดยจะไม่ใช้วิธีการฟ้องร้องยึดทรัพย์ดำเนินคดีในทันทีเหมือนในอดีต แต่จะให้ “graing period” เพื่อให้ธุรกิจพลิกฟื้นได้ โดยเฉพาะธุรกิจเอสเอ็มอี ที่ยังดำเนินกิจการอยู่ 

“เราอนุญาตให้ตีทรัพย์ชำระหนี้บางส่วนที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ออกไปก่อน และเหลือทรัพย์สินที่ยังสร้างรายได้ไว้ เราจะพยายามให้โอกาสเขาดำเนินธุรกิจต่อไปโดยไม่บังคับยึดทรัพย์ทันที ซึ่งเรามองว่าในพอร์ตของ BAM ระยะหลังๆ นี้ จะมีคนกลุ่มนี้อยู่ประมาณ 30-40% ฉะนั้น เราจึงจะไม่ใช้มาตรการเดิม เราก็จะใช้มาตรการใหม่ที่มีความผ่อนปรนมากขึ้น”  

BAM ยังจะทำหน้าที่เป็นศูนย์รวมผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน (คล้าย “หมอหนี้” ในอดีต) ที่ช่วยวิเคราะห์และหาทางออกให้กับธุรกิจ รวมถึงการหา “Potential Partner” เช่น Non-Bank หรือกลุ่ม High Net Worth ที่สนใจร่วมลงทุนหรือปล่อยสินเชื่อใหม่ ดอกเบี้ยบวก/ลบ 15% เพื่อให้ธุรกิจสามารถกลับมาดำเนินกิจการได้ โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจ New S-curve หรือธุรกิจที่มีศักยภาพในการสร้างกำไรได้ 

ดร.รักษ์กล่าวว่า จากการปรับกลยุทธ์ธุรกิจของ BAM ด้วยประนอมหนี้ที่ยืดหยุ่นขึ้น อัตราการเก็บเงินของเราเพิ่มขึ้น จากเดิม 1,000-1,200 ล้านบาท/เดือน เป็น 1,500-1,700 ล้านบาท/เดือน ขณะเดียวกัน จะปรับสัดส่วนการประนอมหนี้ต่อการขายสินทรัพย์รอการขาย (NPA) จากการประนอมหนี้ 30-40% ต่อการขายทรัพย์ NPA 60-70% เป็นสัดส่วน 50 ต่อ 50% 

“ความยืดหยุ่นของเราจะมีมากขึ้น ในวันที่เศรษฐกิจดี NPA อาจจะเป็นไดรฟ์เวอร์ เพราะว่ามีคนรอซื้อทรัพย์อยู่เยอะ แต่วันนี้พอเศรษฐกิจไม่ดี เราต้องกลับมาดูลูกหนี้เราว่า ให้โอกาสเขาผ่อน จะผ่อนมากผ่อนน้อยแต่ขอให้ผ่อน ซึ่งน่าจะเป็นทางออกและน่าจะเป็นคำตอบสำหรับโมเดลของ AMC”ดร.รักษ์กล่าว 

ดร.รักษ์ยังฉายภาพทิศทางของ BAM ว่า วันนี้เราโฟกัสในเรื่อง TDR Factory และ FA Center จะทำให้ระยะเวลาเฉลี่ยการถือครองทรัพย์ NPA ของเราจากเฉลี่ย 7.5 ปี เหลือประมาณ 3.5 - 4 ปี และ Success Rate ในการปรับโครงสร้างหนี้ จาก 15% เป็น 25-30% ซึ่งเทียบเท่ากับ Good Bank 

“ทั้งหมดทั้งมวลนี้ เป็นการใช้แนวคิดของนายแบงก์เดิม มาบริหารจัดการ Bad bank operation เรามองมุมของโอกาส มากกว่ามุมของความคุ้มค่า”ดร.รักษ์กล่าวทิ้งท้าย 

 

หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,110 วันที่ 3 - 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2568