หนี้เสียรอบใหม่ AMC รับมือได้แน่ BAM เร่งบทบาท พลิกฟื้นหนี้เสีย

15 มิ.ย. 2568 | 02:05 น.
อัปเดตล่าสุด :15 มิ.ย. 2568 | 02:09 น.

BAM เร่งบทบาท “แก้มลิงแห่งชาติ” ประนอมหนี้ 5 แสนล้านบาท ช่วยลูกหนี้กว่า 160,000 ราย พร้อมใช้ AI-ระบบอัตโนมัติฟื้นฟูหนี้เสียคืนสู่เศรษฐกิจอย่างยั่งยืน

ย้อนรอยกลับไปในช่วงที่เกิดวิกฤตการณ์ทางการเงิน 2540 หรือ ‘วิกฤตต้มยำกุ้ง’ เริ่มขึ้นจากการเก็งกำไรค่าเงินบาท ซึ่งเป็นผลมาจากความไม่สมดุลของภาคเศรษฐกิจการเงินไทยในขณะนั้น กล่าวคือ เงินทุนไหลเข้ามาอย่างมากจากการลงทุนโดยการกู้ยืมของเอกชนภายในประเทศ โดยเฉพาะการลงทุนในภาคอสังหาริมทรัพย์ จนเกิดฟองสบู่ของราคาทรัพย์สินที่พุ่งสูงเกินจริง 

นำไปสู่เงินทุนและการกู้ยืมเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่นโยบายการเงินในขณะนั้น กำหนดอัตราแลกเปลี่ยนค่อนข้างคงที่ แม้จะสร้างเสถียรภาพให้กับตลาดการเงิน ทว่ากลับทำให้ผู้กู้และผู้ปล่อยกู้ต่างก็ประเมินความเสี่ยงจากการเปิดรับเงินตราต่างประเทศที่ต่ำเกินไป

เมื่อเกิดความไม่สมดุลระหว่างระยะเวลาของตราสารทางการเงินในภาคธนาคาร และปริมาณเงินต่างประเทศในงบการเงินของภาคเอกชน การกู้ยืมเงินจำนวนมากจึงกลายเป็นจุดอ่อนสำคัญของระบบเศรษฐกิจ ตราสารทางการเงินในภาคธนาคารเป็น ‘การกู้สั้น ลงทุนยาว’

หนี้เสียรอบใหม่ AMC รับมือได้แน่ BAM เร่งบทบาท พลิกฟื้นหนี้เสีย

กล่าวคือ เป็นการยืมเงินตราต่างประเทศระยะสั้น แต่มาให้สินเชื่อระยะยาวกับโครงการก่อสร้างภายในประเทศ ความไม่สมดุลเช่นนี้ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงกับระบบเศรษฐกิจ จนนำไปสู่การมีหนี้เสียในช่วงเวลานั้นสูงถึง 52.3% ของสินเชื่อรวม หรือราว 2.5 ล้านล้านบาท อันเกินกว่ากำลังของระบบสถาบันการเงินจะแก้ไขได้ในระยะเวลาอันสั้น

บริษัทบริหารสินทรัพย์ของภาครัฐและเอกชนได้ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี 2540-2541 เพื่อมาบริหารจัดการและแก้ไขหนี้เสียดังกล่าว รวมทั้งในเวลาต่อมาก็ได้มีการจัดตั้งบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย (บสท.) ในปี 2544 เพื่อซื้อหนี้เสียก้อนใหญ่ จากสถาบันการเงินไปบริหารจัดการ

ซึ่งใช้เวลาหลายปีจึงสามารถแก้ไขหนี้เสียหรือ NPL ในระบบจาก 2.5 ล้านล้านบาท (52.3%ของสินเชื่อรวม) ให้ลดลงเหลือ 4 แสนล้านบาท(5.29% ของสินเชื่อรวม) ในปี 2551

ดังนั้น เมื่อเทียบกับวิกฤตหนี้เสียในช่วงต้มยำกุ้งกับสถานการณ์หนี้เสียในช่วงปัจจุบัน จะเห็นได้ว่ามีความแตกต่างกันทั้งในแง่ปริมาณหนี้เสีย หน่วยงานต่าง ๆ ที่ถูกจัดตั้งขึ้นมาเพื่อแก้ไขหรือบริหารจัดการ

รวมไปถึงกลไกควบคุมของสถาบันการเงิน  มาตรการรัฐ และการสร้างระบบรองรับการแก้ไขปัญหาหนี้เสียในธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจ ซึ่งทำให้มีความพร้อมในการรองรับและบำบัดหนี้เสียได้ดีขึ้นและรวดเร็วขึ้นกว่าที่เคยเกิดขึ้นในอดีตมาก

ณ สิ้นปี 2567 ตามข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทยและสำนักงานเศรษฐกิจการคลังระบุว่าหนี้เสียหรือ NPL อยู่ที่ประมาณ 8 แสนล้านบาท และถึงแม้ว่าจะมีสินเชื่อที่กล่าวถึงเป็นพิเศษ (Special Mention) ในระบบอีกราว 1.2 ล้านล้านบาท แต่สถาบันการเงินก็มีระบบในการบริหารจัดการสินเชื่อดังกล่าวที่มีประสิทธิภาพมากกว่าในอดีต

รวมทั้งมาตรการของภาครัฐอย่างเช่น คุณสู้ เราช่วย หรือคลินิกแก้หนี้ และบริษัทบริหารสินทรัพย์ทั้งภาครัฐและเอกชนที่ก่อตั้งขึ้นล้วนเป็นกลไกสำคัญที่ช่วยลดและแก้ไขปัญหา NPL ในระบบสถาบันการเงินได้เป็นอย่างดี

บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM ซึ่งจัดเป็นบริษัทบริหารสินทรัพย์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศ ดำรงบทบาทการเป็น “แก้มลิงแห่งชาติ” ที่ทำหน้าที่รองรับหนี้เสียไม่ให้ไหลท่วมเข้าสู่ระบบสถาบันการเงิน และนำมาบำบัดด้วยการประนอมหนี้ ในฐานะ “หมอหนี้”

โดยทำหน้าที่เป็น Recycling Machine เร่งสร้างโรงงานแก้หนี้ (TDR Factory) เพื่อฟื้นฟูให้ลูกหนี้กลับมามีสุขภาพทางการเงินที่ดีขึ้น โดยใช้ AI และระบบ Automation ในการสร้างเงื่อนไขปรับโครงสร้างหนี้เฉพาะรายที่รัดกุม ตรงจุด รวดเร็ว และลดการใช้วิจารณญาณในการแก้หนี้ ซึ่งจะช่วยฟื้นฟู และทำให้การแก้ไขปัญหาหนี้เป็นเรื่องง่าย เข้าถึงได้ ทำได้รวดเร็ว และยุติธรรม

ขณะเดียวกัน BAM พร้อมร่วมมือกับพันธมิตรจัดตั้ง FA Center ที่เน้นการดูแลลูกหนี้ชั้นดีให้ไปต่อได้ ทำให้สามารถช่วยเหลือลูกหนี้กลับคืนสู่ระบบเศรษฐกิจแบบยั่งยืน

BAM เปิดโอกาสให้ลูกหนี้ทุกรายเข้ามาเจรจาประนอมหนี้เพื่อหาข้อยุติร่วมกันในทุกขั้นตอน แม้ว่าลูกหนี้จะอยู่ในขั้นตอนกระบวนการทางกฎหมายก็ตาม โดย BAM เจรจาบนพื้นฐานการพิจารณาถึงความสามารถที่แท้จริงและกำลังการผ่อนชำระของลูกหนี้

จะเห็นได้ว่า BAM มีมาตรการในการช่วยเหลือเพื่อเปิดโอกาสให้ลูกหนี้ได้หลักประกันซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยหรือที่ทำกินกลับคืนไปด้วยเงื่อนไขที่ผ่อนปรน เช่น โครงการสุขใจได้บ้านคืน ที่สามารถช่วยเหลือลูกหนี้ได้มากถึง 5,963 ราย คิดเป็นยอดประนอมหนี้ 10,341 ล้านบาท

รวมไปถึงการยื่นมือเข้าช่วยเหลือลูกหนี้กลุ่ม Startup และ SME ในโครงการ BAM ช่วยฟื้นคืนธุรกิจ ที่ช่วยลูกหนี้ได้มากถึง 208 ราย คิดเป็นยอดประนอมหนี้ 1,256 ล้านบาท ซึ่งในภาพรวม BAM ได้ข้อยุติในการปรับโครงสร้างหนี้แล้วถึง 160,888 ราย คิดเป็นภาระหนี้เงินต้น 500,025  ล้านบาท

BAM ยังคงยืนหยัดดำรงบทบาทสำคัญในการเป็นแก้มลิงแห่งชาติ ด้วยวิธีการ “พลิกฟื้นหนี้เสีย” ให้กลับมาเป็นหนี้ที่มีคุณภาพและนำระบบเศรษฐกิจกลับคืนสู่ความมั่นคงอย่างยั่งยืน โดยไม่เพียงแค่บริหารหนี้ แต่ยังเน้นการฟื้นฟู “คน” ที่อยู่เบื้องหลังตัวเลขเหล่านั้นให้กลับมาอยู่ในระบบเศรษฐกิจปกติได้อีกครั้ง

บทความโดย ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) 

หน้า 13 หนังสือพิมพ์ ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,105 วันที่ 15 - 18 มิถุนายน พ.ศ. 2568