สศค. กับภารกิจ ‘พลิกเกมการคลัง’  ท่ามกลางความเสี่ยงเศรษฐกิจไทย 2568

08 พ.ค. 2568 | 07:23 น.
อัปเดตล่าสุด :08 พ.ค. 2568 | 07:23 น.

เศรษฐกิจไทยเผชิญแรงกดดันจากนโยบายภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ กระทบส่งออกและ MSMEs สศค.ย้ำต้องกลับมาวางนโยบายอย่างรอบคอบ อาศัยบทเรียนจากวิกฤตในอดีต เพื่อรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจ ควบคู่การฟื้นความเชื่อมั่นและดูแลฐานะการคลังระยะยาว

ในปี 2568 เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญศึกใหญ่จากนโยบายภาษีตอบโต้ “Reciprocal Tariff” ของสหรัฐฯ ที่อาจทำให้สินค้าส่งออกไทยเผชิญภาษีนำเข้าในอัตราที่สูงขึ้น

โดยเฉพาะสินค้าเทคโนโลยีที่เป็นห่วงโซ่อุปทานของ MSMEs ความกังวลจึงไม่ได้จำกัดอยู่แค่การส่งออก แต่ยังรวมถึงการลงทุนของเอกชนที่อาจชะลอตัวตามความไม่แน่นอน และการบริโภคในประเทศที่ยังเปราะบางจากราคาสินค้าและปัญหาหนี้ครัวเรือน

สถานการณ์นี้ทำให้หน่วยงานที่มีหน้าที่วางนโยบายเศรษฐกิจการคลังอย่างสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ต้องกลับมารับบทบาทสำคัญอีกครั้งในการวางแผนยุทธศาสตร์ระดับชาติเพื่อรับมือกับความปั่นป่วนในระดับโลก 
 

สศค. ไม่ใช่ชื่อใหม่ในวงการนโยบายเศรษฐกิจ หากแต่เป็นหนึ่งในเสาหลักที่ผ่านวิกฤตเศรษฐกิจมาแล้วหลายครั้ง บทเรียนจากอดีตจึงมีค่ามหาศาลในวันที่เศรษฐกิจโลกปั่นป่วนอย่างไม่แน่นอน

ย้อนกลับไปในวิกฤตต้มยำกุ้ง ปี 2540 เศรษฐกิจไทยทรุดตัวลงอย่างรวดเร็วจากฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์และค่าเงินบาทลอยตัวอย่างกะทันหัน บทเรียนสำคัญจากวิกฤตครั้งนั้นคือ ความเปราะบางของระบบการเงินและการขาดวินัยทางการคลัง สศค. ในเวลานั้นยังไม่มีเครื่องมือที่ทันสมัยเช่นในปัจจุบัน แต่ได้เริ่มต้นสะสมองค์ความรู้และพัฒนาระบบวิเคราะห์เศรษฐกิจที่แม่นยำยิ่งขึ้น

สศค. กับภารกิจ ‘พลิกเกมการคลัง’  ท่ามกลางความเสี่ยงเศรษฐกิจไทย 2568

ในช่วงวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ ปี 2551 แม้ประเทศไทยจะไม่ได้รับผลกระทบรุนแรงเท่าชาติอื่น แต่ความหวั่นไหวในตลาดเงินและการชะลอตัวของการส่งออกทำให้สศค. ต้องกลับมาทบทวนแนวนโยบายการคลังใหม่ โดยเน้นการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการลงทุนภาครัฐและมาตรการภาษีในกลุ่มเปราะบาง เช่น การลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในช่วงชั่วคราว และการจัดตั้งกองทุนต่าง ๆ เพื่อเสริมสภาพคล่องในระบบเศรษฐกิจ

ถัดมาในวิกฤตโควิด-19 ซึ่งถือเป็นบททดสอบครั้งสำคัญที่สุดในศตวรรษนี้ สศค. ได้ทำหน้าที่อย่างโดดเด่นทั้งในด้านการวิเคราะห์เศรษฐกิจ การออกแบบมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น โครงการคนละครึ่ง เราชนะ ม.33 เรารักกัน และการจัดการเงินกู้กว่า 1.5 ล้านล้านบาทเพื่อฟื้นฟูประเทศ 

กลับมาที่ปี 2568 ความท้าทายใหม่ไม่ได้มาจากโรคระบาดอีกต่อไป แต่เป็นนโยบายการค้าเชิงรุกของสหรัฐฯ ที่หันมาใช้มาตรการภาษีตอบโต้กับประเทศคู่ค้าอย่างไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มสินค้าที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี ซึ่งหลายรายการอยู่ในห่วงโซ่อุปทานของ MSMEs ของไทย ซึ่งมีสัดส่วนกว่า 90% ของกิจการทั้งหมดในประเทศ 

ผลกระทบจึงไม่ใช่แค่การส่งออกชะลอตัว แต่รวมถึงโอกาสการลงทุนที่หดแคบลง ความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการที่ลดลง และการบริโภคที่ไม่สามารถฟื้นตัวได้เต็มที่จากภาระหนี้สินที่ยังคงสูง สศค. จึงต้องพิจารณาแนวนโยบายที่ซับซ้อนยิ่งกว่าเดิม เพราะการออกมาตรการใด ๆ ต้องประเมินทั้งผลกระทบเชิงเศรษฐกิจมหภาคและผลต่อฐานะการคลังในระยะยาว

ดร.พรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการ สศค. และโฆษกกระทรวงการคลังกล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่ได้ข้อสรุปว่าจะมีการกู้เงิน 5 แสนล้านบาทหรือไม่ แต่ยืนยันว่า กระทรวงการคลังเตรียมพร้อมทั้งทางเลือกของการบริหารงบประมาณปี 2569 การใช้แหล่งเงินปัจจุบัน และการพิจารณากู้เงินใหม่ โดยต้องอิงกับความจำเป็นของมาตรการที่จะออกมาอย่างเหมาะสม

ไม่เพียงเท่านั้น ยังต้องมีการปรับปรุงแผนการคลังระยะปานกลาง ปี 2568-2571 ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ล่าสุด เพื่อให้สามารถออกมาตรการที่มีขนาดเหมาะสม รองรับความผันผวนในระยะสั้นโดยไม่ทำให้เสถียรภาพระยะยาวเสียหาย

ประเด็นที่ต้องจับตามากคือ การที่บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือระดับโลกอย่าง Moody’s ปรับมุมมองเครดิตของไทยเป็น “เชิงลบ” (Negative) ซึ่งแม้ยังไม่ถึงขั้นลดอันดับเครดิต แต่ก็เป็นสัญญาณเตือนถึงความเปราะบางที่เริ่มปรากฏ โดยเฉพาะในด้านรายได้รัฐและหนี้สาธารณะ 

สศค. จึงมีหน้าที่สำคัญยิ่งในการพิสูจน์ให้เห็นว่า ฐานะการคลังของไทยยังมั่นคงผ่านการวางนโยบายที่ยืดหยุ่นแต่มีวินัย การใช้ข้อมูลและการวิเคราะห์เชิงลึกเพื่อตัดสินใจ และการสื่อสารอย่างโปร่งใสกับประชาชนและนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ

นอกจากการวางนโยบายการคลังแล้ว สศค. ยังต้องทำงานร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ เช่น EXIM Bank เพื่อให้การสนับสนุนผู้ส่งออก บูรณาการการช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง รวมถึงการติดตามปัจจัยเสี่ยง เช่น ความขัดแย้งภูมิรัฐศาสตร์ การย้ายฐานการผลิต และแนวโน้มของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าอย่างใกล้ชิด 

ภายใต้เงื่อนไขเช่นนี้ บทบาทของ สศค. จึงไม่ได้จำกัดอยู่ที่ตัวเลขและรายงานเศรษฐกิจอีกต่อไป หากแต่คือการออกแบบนโยบายที่มีผลกระทบต่อชีวิตผู้คนจริง ๆ การตัดสินใจในวันนี้อาจกำหนดอนาคตของเศรษฐกิจไทยในอีก 5-10 ปีข้างหน้า
 บทเรียนจากวิกฤตในอดีตยังคงมีความหมายเสมอ ตราบใดที่ผู้มีอำนาจตัดสินใจไม่ลืมบทเรียนนั้น และกล้าที่จะนำมาใช้ในการเผชิญกับปัญหาใหม่ ๆ อย่างมีสติและรอบคอบ

 

วิเคราะห์ หน้า 8 หนังสือพิมพ์ ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,094 วันที่ 8 - 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2568