ย้อนรอยวิกฤตเศรษฐกิจไทย: บทเรียนจากอดีต สู่ทางเลือกอนาคต

07 พ.ค. 2568 | 08:16 น.
อัปเดตล่าสุด :07 พ.ค. 2568 | 08:16 น.

ตลอดช่วงกว่า 70 ปีที่ผ่านมา ประเทศต้องเผชิญกับวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่หลายครั้ง ซึ่งแต่ละครั้งได้ทิ้งร่องรอยลึกไว้ในระบบเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง

ในประวัติศาสตร์เศรษฐกิจของประเทศไทย ตลอดช่วงกว่า 70 ปีที่ผ่านมา ประเทศต้องเผชิญกับวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่หลายครั้ง ซึ่งแต่ละครั้งได้ทิ้งร่องรอยลึกไว้ในระบบเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง

บทเรียนจากเหตุการณ์เหล่านี้ไม่เพียงแต่สะท้อนถึงความเปราะบางของระบบเศรษฐกิจไทย แต่ยังเปิดเผยถึงปัญหาเชิงโครงสร้างที่ยังคงหลงเหลือมาจนถึงปัจจุบัน

วิกฤตน้ำมัน: จุดเริ่มต้นของความไม่แน่นอน 

ย้อนกลับไปในทศวรรษ 2513 โลกต้องเผชิญกับวิกฤตการณ์ราคาน้ำมันถึงสองครั้ง ซึ่งเกิดจากการควบคุมการผลิตของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (OPEC) ส่งผลให้ราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว 

ประเทศไทยซึ่งพึ่งพาการนำเข้าน้ำมันอย่างมากได้รับผลกระทบโดยตรง ต้นทุนการผลิตและค่าขนส่งเพิ่มสูง เงินเฟ้อพุ่ง แรงกดดันต่อประชาชนและภาคอุตสาหกรรมสะสมเป็นปัจจัยที่ทำให้รัฐบาลไทยต้องเร่งเปลี่ยนนโยบายพลังงานและแสวงหาแนวทางลดการพึ่งพาน้ำมันในระยะยาว 

วิกฤตต้มยำกุ้ง 2540: บทเรียนราคาแพงจากความลุ่มหลงในทุน 

วิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหญ่ที่สุดของไทยเกิดขึ้นในปี 2540 หรือที่รู้จักกันในชื่อ “วิกฤตต้มยำกุ้ง” จุดเริ่มต้นเกิดจากการเติบโตอย่างรวดเร็วของภาคการเงิน การเก็งกำไรในตลาดอสังหาริมทรัพย์และหุ้น

ขณะที่รัฐบาลใช้ระบบตรึงค่าเงินบาท ทำให้ประเทศไทยตกอยู่ในภาวะขาดดุลบัญชีเดินสะพัด และเงินทุนไหลออกเมื่อความเชื่อมั่นนักลงทุนสั่นคลอน การตัดสินใจลอยตัวค่าเงินบาทในเดือนกรกฎาคมปีนั้นทำให้ค่าเงินไทยอ่อนค่าลงอย่างรวดเร็ว เกิดการล้มละลายของสถาบันการเงินหลายแห่ง และนำไปสู่การขอความช่วยเหลือจาก IMF 

วิกฤตครั้งนี้สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรง GDP หดตัวมากกว่า 10% ในช่วงปี 2540–2541 อัตราการว่างงานเพิ่มขึ้นอย่างไม่เคยมีมาก่อน และเศรษฐกิจไทยใช้เวลาหลายปีจึงฟื้นตัวได้เต็มที่ จุดเปลี่ยนนี้นำไปสู่การปฏิรูประบบการเงิน การออกกฎหมายใหม่ และการตั้งธนาคารแห่งประเทศไทยให้มีความเป็นอิสระมากขึ้น  

วิกฤตโลกและโควิด-19: บาดแผลจากโลกาภิวัตน์ 

ในปี 2551 ประเทศไทยได้รับผลกระทบจากวิกฤตการเงินโลก หรือที่รู้จักในชื่อ “วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์” แม้ผลกระทบจะไม่รุนแรงเท่าต้มยำกุ้ง แต่ภาคการส่งออกของไทย ซึ่งเป็นเครื่องยนต์หลักของเศรษฐกิจ กลับต้องหดตัวอย่างหนัก การว่างงานและการบริโภคภายในประเทศลดลง รัฐบาลไทยต้องใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อพยุงความเชื่อมั่นและการจ้างงาน  

แต่หายนะที่แท้จริงในศตวรรษที่ 21 คือ วิกฤตโควิด-19 การระบาดของไวรัสที่เริ่มขึ้นในปี 2563 ทำให้เศรษฐกิจไทยแทบหยุดนิ่ง โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวซึ่งคิดเป็นสัดส่วนรายได้สูงถึง 20% ของ GDP การล็อกดาวน์และข้อจำกัดด้านการเดินทางส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจหดตัวอย่างรวดเร็ว เศรษฐกิจไทยติดลบกว่า 6% ในปี 2563 ซึ่งถือเป็นการหดตัวครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่วิกฤตต้มยำกุ้ง 

ปัจจุบันและอนาคต: ทางรอดอยู่ที่ความยืดหยุ่นและการกระจายความเสี่ยง 

ในช่วงหลังโควิด แม้เศรษฐกิจไทยจะเริ่มฟื้นตัว แต่ก็ยังเผชิญกับความท้าทายใหม่ ไม่ว่าจะเป็นเงินเฟ้อโลก หนี้ครัวเรือนสูง ความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ และภาวะชะลอตัวของประเทศคู่ค้า ปัญหาเชิงโครงสร้าง เช่น ความเหลื่อมล้ำ การพึ่งพาภาคส่งออกและท่องเที่ยวมากเกินไป และการขาดแคลนแรงงานฝีมือ ล้วนเป็นปัจจัยที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง 

บทเรียนจากวิกฤตในอดีตได้แสดงให้เห็นว่า ประเทศไทยไม่สามารถพึ่งพาโชคหรือปัจจัยภายนอกได้อีกต่อไป ระบบเศรษฐกิจต้องสร้างความยืดหยุ่นผ่านการลงทุนในนวัตกรรม การศึกษาที่ตอบโจทย์อนาคต และการสร้างฐานเศรษฐกิจภายในที่มั่นคง หากเราต้องการเดินหน้าสู่อนาคตโดยไม่ตกอยู่ในวังวนของวิกฤตแบบเดิมซ้ำอีก

 

หน้า 13 หนังสือพิมพ์ ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,094 วันที่ 8 - 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2568