SCB CIO หนุนลงทุนบอนด์ หุ้นกู้คุณภาพสูงระยะสั้นถึงกลาง ทั้งสหรัฐฯ และไทย

30 เม.ย. 2568 | 10:53 น.
อัปเดตล่าสุด :30 เม.ย. 2568 | 10:59 น.

SCB CIO คงน้ำหนักถือครองหุ้นในพอร์ตหลัก กระจายผ่าน Mixed Funds และทองคำ ไม่แนะนำหุ้นระยะสั้นบนพอร์ตเสริม ป้องเสี่ยงสงครามการค้า -ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์

ความไม่แน่นอนจากสงครามการค้ายังอยู่ในระดับที่สูง แม้ว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์จะประกาศเลื่อนการขึ้นภาษีศุลกากรตอบโต้รายประเทศ (Reciprocal Tariff) ออกไปอีก 90 วัน เพื่อเปิดโอกาสให้มีการเจรจาต่อรอง แต่ยังคงอัตราภาษีนำเข้าขั้นต่ำจากทุกประเทศทุกสินค้า 10% (Universal Tariffs)

SCB CIO หนุนลงทุนบอนด์ หุ้นกู้คุณภาพสูงระยะสั้นถึงกลาง ทั้งสหรัฐฯ และไทย

ยกเว้น เม็กซิโก และแคนาดา ซึ่งถูกปรับขึ้นภาษีนำเข้าเฉพาะ(Specific Tariffs)ที่ 25% ไปก่อนแล้ว การประกาศปรับขึ้นภาษีรอบนี้ของสหรัฐฯ ได้สร้างความไม่แน่นอนต่อการค้าและการลงทุนทั่วโลก และส่งผลให้เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มชะลอตัวลงในปีนี้

 

นางสาวเกษรี อายุตตะกะ ผู้อำนวยการ Investment Research SCB Chief Investment Office (SCB CIO) ธนาคารไทยพาณิชย์เปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ”ว่า การลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง ยังมีแนวโน้มถูกกดดันจาก ความไม่แน่นอนจากสงครามการค้าที่ยังสูง และ การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก

SCB CIO หนุนลงทุนบอนด์ หุ้นกู้คุณภาพสูงระยะสั้นถึงกลาง ทั้งสหรัฐฯ และไทย

ส่งผลให้ความผันผวนเพิ่มสูงขึ้น ดังนั้น SCB CIO แนะนำเพิ่มความระมัดระวังการลงทุนสินทรัพย์เสี่ยง เน้นลงทุนตราสารหนี้ ระยะสั้น-กลาง กองทุนผสม และทองคำ บนพอร์ตหลัก ที่เป็นพอร์ตลงทุนระยะยาว 

ในส่วนของการลงทุน SCB CIO มองว่า ปัจจุบันสินทรัพย์ทางการเงิน ยังไม่ได้รับรู้ (price in) ประเด็นเรื่อง Recession เต็มที่มากนัก เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงที่เกิด Recession ในอดีต

ขณะที่การเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียนยังมีแนวโน้มถูกปรับลดลง จากผลกระทบของภาษีนำเข้า และความไม่แน่นอนบนเศรษฐกิจมหภาค ซึ่งเริ่มสะท้อนเข้าสู่ตลาดหุ้นมากขึ้น 

ดังนั้น จึงมีโอกาสที่ตลาดหุ้นโลกในระยะสั้น จะพักฐานและยังผันผวนสูงต่อ โดยเงื่อนไขหลักเบื้องต้นที่อาจช่วยให้ตลาดหุ้นโลกกลับมาฟื้นตัวขึ้นได้และผันผวนลดลง คาดว่า จะมาจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายเชิงบวกของสหรัฐฯ ไม่ว่าจะเป็นการลดความตึงเครียดทางการค้า ผ่านการเจรจาการค้าที่คืบหน้าขึ้น และการผ่อนคลายนโยบายการเงินจาก Fed 

สำหรับตลาดตราสารหนี้ มาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ของทรัมป์ได้กดดันตลาดพันธบัตรและส่งผลให้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ (US Treasury Yield/ 10Y UST Yield ปรับเพิ่มขึ้นมากสุดในรอบ 20 ปี ในเดือน เม.ย. โดย UST yield ตัวยาว เพิ่มขึ้นอยู่สูงสุดที่ 4.56%

เนื่องจาก นักลงทุนต้องการส่วนชดเชยความเสี่ยงในการถือ UST ตัวยาว (Term Premium) เพิ่มขึ้น จากความไม่แน่นอนด้านนโยบายที่อยู่สูง และ ความกังวลประเด็นการขาดดุลงบประมาณของสหรัฐฯ

แม้ว่า ภายหลัง UST Yield เริ่มปรับลดลงก็ตาม แต่ SCB CIO มองว่า UST ตัวยาว ยังมีแนวโน้มกลับมาปรับเพิ่มขึ้นได้อีก จากความกังวลการขาดดุลงบประมาณ การเพิ่มขึ้นของเงินเฟ้อสหรัฐฯ รวมทั้ง การที่นักลงทุนสูญเสียความเชื่อมั่นบนสินทรัพย์ของสหรัฐฯ ซึ่งรวมถึง พันธบัตร และสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ 

SCB CIO แนะนำระมัดระวังการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงและเน้นจัดพอร์ตลงทุนตามความเสี่ยงที่ยอมรับได้ โดยเน้นลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ และหุ้นกู้เอกชนคุณภาพสูง ระยะสั้นถึงกลาง ของทั้งสหรัฐฯ และไทย เพื่อคาดหวังกระแสเงินสดรับ ขณะที่ผลตอบแทนยังค่อนข้างน่าสนใจ

รวมทั้งได้อานิสงส์จากแนวโน้มการลดดอกเบี้ยนโยบายของทั้ง Fed และคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ซึ่ง SCB CIO คาดว่า กนง. มีแนวโน้มปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีก 3 ครั้ง ในปีนี้อยู่ที่ 1.25% 

สำหรับตลาดหุ้น แนะนำหลีกเลี่ยงการเพิ่มน้ำหนักลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง ช่วงที่ตลาดฯ ยังมีความไม่แน่นอนและผันผวนสูงออกไปก่อน โดยคงน้ำหนักการถือครองหุ้นในพอร์ตหลัก (Core Portfolio) และเน้นกระจายการลงทุนผ่าน กองทุนผสม (Mixed Funds) ที่มีผู้จัดการกองทุนที่เชี่ยวชาญคอยปรับสัดส่วนการลงทุนให้สอดคล้องกับสถานการณ์

และแนะนำลงทุนในทองคำ เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนจากสงครามการค้า และความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังคงอยู่ อย่างไรก็ตาม ยังไม่แนะนำให้เข้าลงทุนตลาดหุ้น ในระยะสั้น บนพอร์ตเสริม (Opportunistic Portfolio)  

ทั้งนี้เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มชะลอตัวลงอย่างชัดเจน โดยล่าสุดในเดือน เม.ย.ทางศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) ได้ปรับลดประมาณการ GDP ของโลก ในปี 2568 เหลือเติบโตเพียง 2.2% จากเดิมคาดไว้เมื่อเดือน มี.ค. อยู่ที่ 2.6%

ส่วนเศรษฐกิจสหรัฐฯ คาดว่า จะขยายตัวเพียง 1.3% จากเดิมคาดไว้ที่ 1.9% เศรษฐกิจจีน คาดว่าจะขยายตัว 4.1% จากเดิมคาดไว้ที่ 4.4% ขณะที่ปรับคาดการณ์การเติบโตเศรษฐกิจไทย ขยายตัวเพียง 1.5% ลดลงจากเดิมที่คาดว่าจะขยายตัว 2.4% 

“ตลาดการเงินมีความกังวลมากขึ้นว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวแต่เงินเฟ้อสูง (Stagflation) รวมถึง มีโอกาสเพิ่มขึ้นที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) ภายใต้สถานการณ์ความไม่แน่นอนจากสงครามการค้าที่สูง และเกิดภาวะกลัวความเสี่ยง (Risk Off) ครั้งใหญ่ในตลาด” 

ทั้งนี้ SCB CIO ประเมินว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มเติบโตชะลอลง ภายใต้สมมติฐานว่า จะมีการเจรจาการค้าเพื่อลดผลกระทบจากการปรับขึ้นภาษีของประธานาธิบดีทรัมป์แบบไม่ยืดเยื้อ (ใช้ระยะเวลาไม่เกิน 6 เดือน) โดยเฉพาะจากประเทศในแถบเอเชีย 

 

หน้า 13 หนังสือพิมพ์ ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,092 วันที่ 1 - 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2568