ท่ามกลางความผันผวนระดับสูงในตลาดเงินและตลาดทุน หลังนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เดินหน้าขึ้นภาษีสินค้านำเข้าแบบต่างตอบโต้กว่า 60 ประเทศ ส่งผลให้ทั่วโลกเผชิญหน้ากับความไม่แน่นอนหรือ Trump’s Uncertainty ซึ่งจะส่งผลต่อทิศทางภาพรวมทั้งเศรษฐกิจโลกและไทย รวมถึงทิศทางดอกเบี้ยการเคลื่อนไหวในสินทรัพย์หลากหลาย
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงิน ตลาดทุนกรุงไทย Global market ธนาคาร กรุงไทยเปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ”ว่า แนวโน้มภาพรวมตลาดเงินตลาดทุน ปัจจัยหลักยังขึ้นกับนโยบายการค้าของสหรัฐอเมริกา ในแง่โอกาสที่จะเจรจาได้หรือไม่ได้ ซึ่งส่วนตัวคิดว่า ประเทศอื่นๆ น่าจะพอพูดคุยกันได้
ยกเว้นจีน แต่คาดว่า อาจจะเจรจากันได้ แต่อาจต้องใช้เวลา เพราะเป้าหมายของสหรัฐ น่าจะเป็นการจำกัดการเติบโตของอำนาจจีน ดังนั้นแนวโน้มการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาท น่าจะเคลื่อนไหว 35 -36 บาท/ดอลลาร์ได้ถึงไตรมาส 2
นายพูนกล่าวว่า กรณีที่ไม่สามารถพูดคุยกันไม่ได้ ก็ต้องดูว่า จีนจะรับมืออย่างไรเช่น จีนจะปล่อยเงินหยวนอ่อนค่าหนักแบบปี 2018(ปี2561) ซึ่งจะทำให้เงินบาทจะอ่อนค่าทะลุ 37- 38บาท/ดอลลาร์ได้ และปิดสิ้นปีอาจจะสูงกว่า 35 บาทต่อดอลลาร์ แต่หากจำกัดไม่ให้เงินหยวนอ่อนค่ามากเช่น 7.40-7.50 เงินบาทก็อาจไม่ได้ทะลุ 36 บาทไปไกลมาก จบสิ้นปีอาจจะพอลงมาแถว 35 บาทได้
กรณีที่สหรัฐกับจีนสามารถคุยกันและจบได้ เงินบาทจะแข็งค่ากว่าที่ประเมินไว้บ้าง แต่ไม่น่าจะเยอะน่า จะเคลื่อนไหวในกรอบ 33.50-34.00บาทถึงสิ้นปี แต่ยังมีตัวแปรอื่นๆ ที่อาจทำให้คาดการณ์เปลี่ยนไปได้ เช่น ราคาทองคำ หรือเงินทุนต่างชาติในตลาดทุนไทย
"ที่ผ่านมา เงินดอลลาร์อ่อนค่า แต่ค่าเงินบาทอ่อน เพราะราคาทองคำลงเยอะ และแรงขายหุ้นด้วย รวมทั้งตลาดขายสกุลเงินเอเชียกันหมด”
สำหรับประเทศที่พึ่งพาการส่งออก แม้ว่าจะส่งออกไปสหรัฐไม่มาก ก็อาจจะลำบากหน่อย เพราะเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงหนัก จะต้องได้รับผลกระทบการส่งออกอยู่ดี โดย Krungthai COMPASS คาดว่า ผลกระทบ จาก TariffTrump ต่อ GDPไทย ประมาณ 0.83-1.23% จาก Base LINE ที่คาดไว้ 2.7% ในปีนี้ และกระทบต่อภาคส่งออกติดลบ 1.8-1.08%
นายเมธัส รัตนซ้อน นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (TISCO ESU)กล่าวว่า ถ้าอัตราภาษีอยู่ที่ 36% อาจส่งผลกระทบต่อการเติบโตของ GDP ไทยลดลง 1.3% จากปีนี้ที่ประเมินไว้ที่ 2.8% มีความเสี่ยงที่จะโตได้เพียง 1.5%
แม้ว่าจะมีหนทางเจรจา เพื่อต่อรองให้สหรัฐลดอัตราภาษีจาก 36% ลงมาได้เต็มที่ อาจจะลดได้ 20-25% แต่ก็ยังมีผลลบต่อ GDP ของไทยประมาณ 1-1.2% ซึ่งอัตราขยายตัวของ GDP อยู่ในระดับต่ำกว่า 2% หรือแค่ 1.5%
วิธีการเจรจาปรับลดอัตราภาษีทำได้ 2 ทางคือ ลดการส่งออกและเพิ่มการนำเข้าจากสหรัฐ ซึ่งก็ไม่ง่าย เช่น การนำเข้าสินค้าเกษตรเพิ่ม จากสหรัฐ โดยปรับลดการนำเข้าจากกัมพูชา สปป.ลาวหรือเมียนมา รวมถึงการนำเข้าข้าวสาลีจากสหรัฐแทนบราซิล
นอกจากนั้น อาจต้องพิจารณาการนำเข้าก๊าซธรรมชาติและน้ำมันดิบจากสหรัฐ ซึ่งก็ยังมีข้อจำกัด เนื่องจากประเทศไทย มีการเซ็นสัญญาล่วงหน้ากับทาง UAE ไปแล้ว แต่อาจจะเป็นการนำเข้าในส่วนเพิ่มจากสหรัฐในอนาคต
ขณะเดียวกันการนำเข้าน้ำมันดิบของไทยปกติ จะมีโรงกลั่นของไทยเพื่อรองรับ แต่หากเปลี่ยนการนำเข้าเป็นน้ำมันเตาจากสหรัฐอาจจะไม่สามารถทดแทนได้ในทันที แม้นว่าทางปตทประกาศว่าอาจจะพอรับได้บ้าง แต่มูลค่าอาจจะยังไม่มากพอที่จะไปเจรจากับสหรัฐอยู่ดี
“แผนการนำเข้าก๊าซธรรมชาติหรือพลังงานจากสหรัฐเพิ่มนั้น ยังติดข้อจำกัดเรื่องโรงกลั่นและสัญญาซื้อน้ำมันล่วงหน้ากับ UAE ไปแล้วในระยะสั้น จึงไม่สามารถทำได้จริง ฉะนั้นสินค้าเกษตร น่าจะทำได้เร็ว แต่ก็จะส่งผลกระทบกับผู้ประกอบการในประเทศ ดังนั้น รัฐบาลต้องออกแบบให้ดี ทั้งในแง่ของการเยียวยาและช่วยผู้ประกอบการในประเทศให้อยู่รอดท่ามกลางสินค้าเกษตรสหรัฐที่จะทะลักเข้ามาด้วย”
อย่างไรก็ตาม แนวโน้มอัตราการขยายตัวของจีดีพีไทย กรณีฐานที่จะเติบโต 1.5%ในปีนี้ หรือกรณีแย่ มีความเป็นไปได้ที่จะเห็นจีดีพีขยายตัวแค่ 1.2% จึงเป็นหน้าที่ของนโยบายการเงินที่จะเข้ามาช่วยสนับสนุน โดยมองว่า การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.)วันที่ 30 เมษายน น่าจะมีโอกาสปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% และกนง.น่าจะส่งสัญญาณผ่อนคลายกว่าที่ผ่านมา
“สงครามทางการค้ารอบนี้เปลี่ยนเกมการค้าโลก เรียกว่า เป็นแผ่นดินไหวทางเศรษฐกิจก็ว่าได้ เพราะการเก็บภาษีที่อัตรา36% เป็นอัตราที่ไม่มีใครคิดว่า จะสูงขนาดนี้ จึงเป็นแรงกดดันต่อเศรษฐกิจสูงกว่าที่ตลาดมองไว้"
ฉะนั้นธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) น่าจะมีท่าทีที่ผ่อนคลาย ปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย พร้อมปรับประมาณการเติบโตทางเศรษฐกิจลงมาใกล้ระดับ 2% จากเดิมที่ 2.5%
สำหรับค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มอ่อนค่าลงใกล้ระดับที่คาดการณ์ไว้ โดยคาดว่า ถ้ากนง.ปรับลดดอกเบี้ยลง จะช่วยให้มีความเป็นไปได้ที่จะเห็นค่าเงินบาทอ่อนค่าทะลุ 36 บาทต่อดอลลาร์ในไตรมาส2 แต่ภาคการท่องเที่ยวยังเป็นตัวแปรสำคัญที่ต้องจับตาเพราะ หากไตรมาส 1 เติบโตแค่ 2% มีโอกาสที่จะพลาดเป้า(8-10%) และส่งผลเชิงลบต่อการเติบโตของ GDP ได้เช่นกัน
หน้า 13 หนังสือพิมพ์ ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,087 วันที่ 13 - 16 เมษายน พ.ศ. 2568