นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) แสดงวิสัยทัศน์ เรื่อง “ค่าเงินบาท” อย่างต่อเนื่อง สรุปสาระสำคัญครั้งล่าสุด ได้ชี้ให้เห็นถึง ความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนระหว่างอัตราแลกเปลี่ยน ดอกเบี้ย การดำเนินธุรกิจ การจ้างงาน การจับจ่ายใช้สอย การค้าการลงทุน ระบบธนาคาร ภาวะหนี้สิน GDP และการลงทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยจากนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
นายประชัย ย้ำว่า ธปท. ควรปรับนโยบาย “เดินสายกลาง” รักษาค่าเงินบาทให้อ่อนค่าลงมาอยู่ที่ 38-40 บาท/ดอลลาร์ ซึ่งจะเป็น “จุดสมดุล” ที่เหมาะสม ช่วยพลิกฟื้นเศรษฐกิจไทยจากภาวะวิกฤตที่กำลังเผชิญ
นายประชัย มองว่า การที่ ธปท. ปล่อยให้ค่าเงินบาทแข็งค่าเกินไปในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ต่อเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะ
ภาคการส่งออก : สินค้าไทยมีราคาแพงขึ้นเมื่อเทียบกับคู่แข่ง ส่งผลให้ปริมาณการส่งออกลดลง ขาดรายได้จากต่างประเทศ
ภาคอุตสาหกรรม : โรงงานผลิตสินค้าภายในประเทศสู้กับสินค้านำเข้าไม่ได้ เพราะต้นทุนการผลิตสูงกว่า ต้องทยอยปิดตัวลง
ภาคแรงงาน : เกิดภาวะคนตกงานจำนวนมากจากการปิดตัวของโรงงาน ส่งผลให้กำลังซื้อในประเทศลดลง
ภาคการเงิน : ภาระหนี้สินครัวเรือนและภาคธุรกิจพุ่งสูงขึ้น สถาบันการเงินเผชิญกับปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) เพิ่มขึ้น อาจนำไปสู่วิกฤตการณ์ทางการเงินครั้งใหญ่ได้
นายประชัย ตั้งข้อสังเกตว่า สาเหตุสำคัญที่ทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่าเกินไป มาจากการที่ ธปท. ยึดติดกับ Dollar Index ซึ่งอ้างอิงค่าเงินบาทกับ 6 ประเทศหลักในเครือข่ายอเมริกา ได้แก่ ยุโรป อังกฤษ สวีเดน แคนาดา ญี่ปุ่น และสวิตเซอร์แลนด์ โดยไม่ได้คำนึงถึงประเทศคู่แข่งทางการค้าที่แท้จริงของไทย เช่น จีน อินเดีย เวียดนาม และเกาหลีใต้ ซึ่งประเทศเหล่านี้ต่างลดค่าเงินของตนเองเมื่อเทียบกับดอลลาร์ ส่งผลให้สินค้าไทยมีต้นทุนสูงกว่ามาก
นายประชัย เชื่อว่า การรักษาค่าเงินบาทให้อ่อนค่าลงมาอยู่ที่ระดับ 38-40 บาท/ดอลลาร์ จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของเศรษฐกิจไทย เพราะจะส่งผลดีหลายด้าน เช่น
กระตุ้นภาคการส่งออก : สินค้าไทยมีราคาถูกลง สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ เพิ่มรายได้จากต่างประเทศเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจไทย
ฟื้นฟูภาคอุตสาหกรรม : โรงงานสามารถเดินเครื่องผลิตได้อย่างเต็มกำลัง ลดการปิดตัวของโรงงานลง
สร้างงาน สร้างรายได้ : เกิดการจ้างงานเพิ่มขึ้น ประชาชนมีรายได้มากขึ้น เพิ่มกำลังซื้อภายในประเทศ•
แก้ไขปัญหาหนี้สิน : ลดภาระหนี้สินครัวเรือนและภาคธุรกิจ แก้ปัญหา NPL ในระบบธนาคาร
สร้างความมั่นคงทางการเงิน : เพิ่มเงินสำรองระหว่างประเทศ สร้างเสถียรภาพให้กับระบบเศรษฐกิจไทย
นายประชัย ยังชี้ให้เห็นว่า แม้ว่าการอ่อนค่าของเงินบาทอาจส่งผลให้เกิดภาวะเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น แต่จะเป็น “เงินเฟ้อที่เกิดขึ้นควบคู่ไปกับการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP growth)” ซึ่งถือเป็นภาวะปกติของประเทศที่มีเศรษฐกิจขยายตัว
นายประชัย ยกตัวอย่างความสำเร็จของเกาหลีใต้ ที่ ธนาคารกลางกล้าดำเนินนโยบาย “ฉีกกรอบ” ปล่อยให้เงินวอนอ่อนค่าลง 16.67% ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ส่งผลให้เกาหลีใต้ก้าวขึ้นเป็นประเทศเศรษฐกิจชั้นนำของโลก
นายประชัย วิพากษ์วิจารณ์ ธปท. ว่ายอมตกเป็น “เบี้ยล่าง” องค์กรต่างชาติ โดยเฉพาะ World Bank และ IMF ที่มุ่งผลประโยชน์ของประเทศมหาอำนาจ บีบให้ประเทศไทยตกอยู่ในวงจร “เงินบาทแข็งค่า” เพื่อทำลายความสามารถในการแข่งขัน และ เปิดทางให้ประเทศคู่แข่งอย่างเวียดนามเติบโต
นายประชัย ยืนยันว่า การรักษาค่าเงินบาทให้อ่อนค่าลงมาอยู่ที่ระดับ 38-40 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ไม่เพียงแต่จะเป็นประโยชน์ต่อภาคธุรกิจ แต่ยังส่งผลดีต่อประชาชนทุกระดับ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
เกษตรกร : ราคาพืชผลทางการเกษตรเพิ่มขึ้น 10-20%
แรงงาน : มีงานทำ มีรายได้เพิ่มขึ้น
ผู้บริโภค : มีกำลังซื้อเพิ่มขึ้น ลดภาระหนี้สิน
นายประชัย ยอมรับว่า ราคาสินค้าบางรายการอาจแพงขึ้น เนื่องจากต้นทุนการนำเข้าน้ำมันที่สูงขึ้น แต่เมื่อเศรษฐกิจเติบโต ประชาชนมีงานทำ มีรายได้มากขึ้น ก็สามารถปรับตัวรับมือกับภาวะเงินเฟ้อได้
นายประชัย เสนอให้ ธปท. จัดตั้ง “กองทุนพัฒนาประเทศ” โดย นำเงินสำรองระหว่างประเทศที่เพิ่มขึ้นจากการอ่อนค่าของเงินบาท มาปล่อยกู้ดอกเบี้ยต่ำให้กับรัฐบาล เพื่อนำไปพัฒนาประเทศในด้านต่าง ๆ เช่น การศึกษา, สาธารณสุข,โครงสร้างพื้นฐาน,การวิจัยและพัฒนา
นายประชัย เชื่อว่า กองทุนพัฒนาประเทศ จะเป็น “กุญแจสำคัญ” ที่ช่วยให้ประเทศไทยก้าวสู่ความเจริญรุ่งเรืองอย่างยั่งยืน ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
นายประชัย ฝากทิ้งท้ายถึง ธปท. ว่า ถึงเวลาแล้วที่ต้อง “กล้า” เปลี่ยนนโยบายอัตราแลกเปลี่ยน เลิกยึดติดกับกรอบ Dollar Index ที่เป็น “อุปสรรค” ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจไทย หันมา ดำเนินนโยบาย “เดินสายกลาง” รักษาค่าเงินบาทให้อ่อนค่าลงมาอยู่ที่ระดับ 38-40 บาท/ดอลลาร์ เพื่อ นำพาประเทศไทยไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน