24 ม.ค. 68 รอยเตอร์ รายงานว่า ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเมื่อวันศุกร์สู่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่วิกฤตการเงินโลกปี 2551 สะท้อนความเชื่อมั่นว่าการเพิ่มขึ้นของค่าจ้างจะช่วยรักษาเสถียรภาพของเงินเฟ้อให้อยู่ที่ระดับเป้าหมาย 2%
การตัดสินใจครั้งนี้ถือเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคมปีที่แล้ว ในการประชุมสองวันที่สิ้นสุดในวันศุกร์ BOJ ได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายระยะสั้นจาก 0.25% เป็น 0.5% ซึ่งเป็นระดับที่ญี่ปุ่นไม่เคยเห็นมานาน 17 ปี การตัดสินใจนี้ผ่านด้วยคะแนนเสียง 8 ต่อ 1 โดยมีนายโทโยอากิ นาคามูระ กรรมการบอร์ดคัดค้าน
การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยตามที่คาดการณ์กันอย่างกว้างขวางนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของธนาคารกลางในการค่อยๆ ผลักดันอัตราดอกเบี้ยขึ้นไปสู่ระดับประมาณ 1% ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่าเป็นระดับที่ไม่ทำให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นเย็นตัวหรือร้อนแรงเกินไป
"โอกาสที่จะบรรลุมุมมองของ BOJ นั้นเพิ่มสูงขึ้น" โดยบริษัทจำนวนมากระบุว่าจะยังคงขึ้นค่าจ้างอย่างต่อเนื่องในการเจรจาค่าจ้างประจำปีนี้ ธนาคารกลางกล่าวในแถลงการณ์ประกาศการตัดสินใจ
BOJ ระบุว่า "อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานกำลังสูงขึ้นสู่เป้าหมาย 2% ของ BOJ" และเสริมว่าตลาดการเงินยังคงมีเสถียรภาพโดยรวม
ธนาคารไม่ได้เปลี่ยนแปลงแนวทางนโยบายในอนาคต โดยระบุว่าจะยังคงปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยหากการคาดการณ์ทางเศรษฐกิจและราคาเป็นไปตามที่คาด อย่างไรก็ตาม ได้ตัดข้อความที่เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการตรวจสอบความเสี่ยงเกี่ยวกับเศรษฐกิจและตลาดต่างประเทศออกไป
หลังการประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินเยนแข็งค่าขึ้นประมาณ 0.5% แตะที่ 155.32 เยนต่อดอลลาร์ ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่นอายุ 2 ปีเพิ่มขึ้นสู่ 0.705% ซึ่งสูงสุดนับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2551
เงินเฟ้อผู้บริโภคพื้นฐานของญี่ปุ่นเร่งตัวขึ้นเป็น 3.0% ในเดือนธันวาคม ซึ่งเป็นอัตราเร็วที่สุดในรอบ 16 เดือน ตามข้อมูลที่เปิดเผยเมื่อวันศุกร์ สะท้อนให้เห็นว่าราคาเชื้อเพลิงและอาหารที่สูงขึ้นยังคงผลักดันค่าครองชีพของครัวเรือนให้เพิ่มสูงขึ้น
หลังจากเข้ารับตำแหน่งในเดือนเมษายน 2566 ผู้ว่าการ BOJ อุเอดะได้ยกเลิกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจแบบสุดขั้วของผู้ดำรงตำแหน่งก่อนหน้าในเดือนมีนาคมปีที่แล้ว และปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นเป็น 0.25% ในเดือนกรกฎาคม
ผู้กำหนดนโยบายของ BOJ กล่าวซ้ำว่าธนาคารกลางจะยังคงปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย หากญี่ปุ่นมีความคืบหน้าในการสร้างวงจรที่เงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นช่วยเพิ่มค่าจ้างและกระตุ้นการบริโภค ซึ่งจะช่วยให้บริษัทต่างๆ สามารถผลักภาระต้นทุนที่สูงขึ้นต่อไปได้