นายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) กล่าวต่อคณะกรรมาธิการบริการการเงินประจำสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันพุธ (6 มี.ค.) ว่า "เราเชื่อว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบาย มีแนวโน้มอยู่ที่ระดับสูงสุดสำหรับวงจรปัจจุบันแล้ว และหากเศรษฐกิจมีการปรับตัวตามที่เราคาดการณ์ไว้ ก็จะเป็นการเหมาะสมที่เฟดจะเริ่ม ผ่อนคลายนโยบายการเงิน และ ลดดอกเบี้ย ลงในปีนี้"
"ในการพิจารณาปรับเป้าหมายอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เราจะทำการประเมินอย่างระมัดระวังต่อข้อมูลที่ได้รับ รวมทั้งแนวโน้มที่เปลี่ยนแปลงไป และการรักษาสมดุลของความเสี่ยง โดยคณะกรรมการเฟดมองว่ายังคงไม่เหมาะสมที่จะปรับลดเป้าหมายอัตราดอกเบี้ย จนกว่าจะมีความเชื่อมั่นมากขึ้นว่าเงินเฟ้อกำลังปรับตัวสู่ระดับ 2% อย่างยั่งยืน"
นายพาวเวลล์กล่าวว่า เฟดยังไม่มีกรอบเวลาที่ชัดเจนสำหรับการปรับลดอัตราดอกเบี้ย หลังการกล่าวแถลงและตอบข้อซักถามของคณะกรรมาธิการบริการการเงินประจำสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันพุธ (6 มี.ค.)แล้ว เขายังมีกำหนดกล่าวแถลงต่อคณะกรรมาธิการการธนาคารประจำวุฒิสภาในวันนี้ (7 มี.ค.)
นอกจากนี้ นายพาวเวลล์ยังกล่าวเกี่ยวกับการปรับลดดอกเบี้ยและภาวะเงินเฟ้อในสหรัฐว่า การปรับลดอัตราดอกเบี้ย “เร็วเกินไป” จะทำให้เฟดมีความเสี่ยงต่อการพ่ายแพ้ในการทำสงครามกับเงินเฟ้อ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นก็จะทำให้เฟดต้องกลับมาขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก แต่เขาก็ยอมรับว่า หากเฟดรอนานเกินไปในการลดดอกเบี้ย ก็มีความเสี่ยงที่จะกระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ
ทั้งนี้ นายพาวเวลล์ในฐานะประธานธนาคารกลางของสหรัฐ กำลังเผชิญแรงกดดันจากสมาชิกสภาคองเกรสที่ต้องการให้เฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงมา โดยเฉพาะจากนางเอลิซาเบท วอร์เรน วุฒิสมาชิกจากรัฐแมสซาชูเซตส์ ซึ่งถือเป็นคู่ปรับของนายพาวเวลล์ โดยนางวอร์เรนเคยเรียกร้องให้เฟดลดดอกเบี้ยเพื่อลดผลกระทบต่อครัวเรือนที่มีรายได้น้อย และทั้งสองก็จะเผชิญหน้ากันในวันนี้ เมื่อนายพาวเวลล์มีกำหนดกล่าวแถลงการณ์พร้อมตอบข้อซักถามจากคณะกรรมาธิการการธนาคารประจำวุฒิสภา
ทางด้าน FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนคาดการณ์ว่า เฟดจะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกของปีนี้ในเดือนมิถุนายน และมีความเป็นไปได้ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% จำนวน 4 ครั้งในปีนี้