คลังโต้เพิ่มเงิน 200 บาท "บัตรสวัสดิการ" ไม่เกี่ยวหาเสียงเลือกตั้ง

28 ธ.ค. 2565 | 11:29 น.

คลังแจงเพิ่มเงิน 200 บาท บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ บรรเทาภาระค่าครองชีพประชาชน ชี้ที่ผ่านมาก็มีการดูแลเช่นเดียวกัน ไม่เกี่ยวหาเสียงเลือกตั้ง

สำนักงานปลัดกระทรวงการคลัง รายงานว่า ตามที่ได้มีข้อวิจารณ์กรณีคณะรัฐมนตรีอนุมัติให้กระทรวงการคลังใช้งบประมาณ 2.6 พันล้านบาท มอบของขวัญปีใหม่ 2566 ให้กับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 13.2 ล้านคน ด้วยการเพิ่มเงินพิเศษ 200 บาท ระยะเวลา 1 เดือน เป็นนโยบายประชานิยมโดยใช้งบประมาณรัฐ เพื่อหวังผลทางการเมืองในช่วงเวลาใกล้สู่การเลือกตั้งหรือไม่นั้น

 

กระทรวงการคลัง ขอชี้แจงว่า มาตรการช่วยเหลือเงินพิเศษ มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการช่วยเหลือและบรรเทาภาระค่าครองชีพให้แก่ผู้มีบัตรฯ จำนวนกว่า 13 ล้านคน เป็นการชั่วคราว ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีรายได้น้อยและได้รับผลกระทบโดยตรงจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปที่ยังอยู่ในระดับที่สูง ประกอบกับราคาพลังงานที่ยังคงมีแนวโน้มอยู่ในระดับที่สูงอย่างต่อเนื่อง 

 

โดยส่งผลต่อต้นทุนราคาสินค้าที่สูงขึ้น ทำให้มีผลกระทบต่อราคาสินค้าอุปโภคบริโภคที่มีความจำเป็นในการดำรงชีพของผู้มีบัตรฯ และทำให้กำลังซื้อของผู้มีบัตรฯ ลดลง

 

ทั้งนี้ ที่ผ่านมา การบรรเทาภาระค่าครองชีพผู้มีรายได้น้อยผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ มีการดำเนินการอย่างต่อเนื่องภายใต้โครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งครอบคลุมประชากร จำนวนกว่า 13 ล้านคน โดยเริ่มมีการให้สวัสดิการตั้งแต่ปี 2561 ซึ่งแบ่งเป็นสวัสดิการหลัก ได้แก่ 

 

  • บรรเทาค่าครองชีพ (วงเงินสิทธิค่าอุปโภค/บริโภค: จำนวน 200 บาท/คน/เดือน จำนวนประมาณ 3.5 ล้านคน และ300 บาท/คน/เดือน จำนวนประมาณ 9.7 ล้านคน) 

 

  • บรรเทาค่าเดินทาง ได้แก่ ค่ารถเมล์ รถไฟฟ้า (500 บาท/คน/เดือน) ค่า บขส. (500 บาท/คน/เดือน) ค่ารถไฟ (500 บาท/คน/เดือน) 

 

  • ค่าก๊าซหุงต้ม (45 บาท/คน/3 เดือน) 

 

  • ค่าประปา 100 บาท/ครัวเรือน/เดือน 

 

  • ค่าไฟฟ้า 230 บาท/ครัวเรือน/เดือน 

 

  • และสวัสดิการอื่น ๆ อาทิ ค่าใช้จ่ายปลายปี 2561 จำนวน 500 บาท ค่าใช้จ่ายปลายปี 2562 สำหรับผู้สูงอายุเกิน 60 จำนวน 500 บาท สำหรับผู้มีบุตร จำนวน 300 บาท สำหรับคนพิการ จำนวน 200 บาท ผ่านช่องกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Money) 

 

อย่างไรก็ดี เนื่องจากปัจจุบันแม้สถานการณ์ความรุนแรงของการแพร่ระบาดของ โควิด – 19 ในหลายประเทศได้คลี่คลายลงตามลำดับ แต่ยังมีผลกระทบจากความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครน และมาตรการคว่ำบาตรต่าง ๆ ที่ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับสูง 

 

นอกจากนี้ เศรษฐกิจโลกยังคงมีความเสี่ยงจากการดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดเพื่อลดแรงกดดันของปัญหาเงินเฟ้อในหลายประเทศโดยเฉพาะอย่างยิ่งสหรัฐอเมริกา รวมทั้งปัญหาการแพร่ระบาดของโควิด – 19 ในสาธารณรัฐประชาชนจีน 

 

"ปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้ได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย และทำให้ภาคส่วนต่าง ๆ ยังไม่สามารถฟื้นตัวได้อย่างเต็มที่โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มประชากรที่มีความเปราะบางทางด้านรายได้ ทรัพย์สิน และหนี้สิน ถึงแม้จะมีรายได้เพิ่มขึ้นบ้างแต่ยังไม่เพียงพอกับรายจ่ายที่เพิ่มสูง และส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของประชาชนกลุ่มดังกล่าว"

 

ทั้งนี้ คณะกรรมการประชารัฐสวัสดิการเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม จึงได้มีมติเห็นชอบมาตรการช่วยเหลือเงินพิเศษแก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ประจำเดือนมกราคม 2566 เป็นการชั่วคราวในระยะสั้น โดยช่วยเหลือวงเงินค่าซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็น สินค้าเพื่อการศึกษา และวัตถุดิบเพื่อเกษตรกรรม จากร้านธงฟ้าราคาประหยัดพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นและร้านอื่น ๆ ตามที่กระทรวงพาณิชย์กำหนด