สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.)แถลงตัวเลขเศรษฐกิจไทย(จีดีพี)ไตรมาส 3/68 พบว่า ขยายตัวเพียง 1.2% แต่ชะลอตัวลง 0.6% จาก 2.8% เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ที่ผ่านมา
เมื่อปรับผลของฤดูกาลรวม 9 เดือนแรกของปี 2568 จีดีพีไทยขยายตัว 2.4% และคาดว่า ทั้งปี 2568 จีดีพีไทยจะขยายตัว 2.0% ชะลอลงจากการขยายตัว 2.5% ในปี 2567 และแนวโน้มปี 2569 คาดว่า เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวในช่วง 1.2-2.2% โดยมีค่ากลางที่ 1.7%
ขณะที่การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) ครั้งล่าสุดเมื่อ 8 ตุลาคม 2568 มีมติ 5 ต่อ 2 เสียงให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.50% ต่อปี โดยที่ 2 เสียงเห็นว่า นโยบายการเงินสามารถผ่อนคลายเพิ่มเติมได้ เพื่อให้ภาวะการเงินสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และมีส่วนช่วยบรรเทาปัญหาด้านสภาพคล่องและภาระหนี้
โดยเฉพาะกลุ่ม SMEs และครัวเรือนกลุ่มเปราะบาง จึงให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% จาก 1.50% เป็น 1.25%
อย่างไรก็ตาม กรรมการส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับจังหวะเวลาและประสิทธิผลของนโยบายการเงินภายใต้ขีดความสามารถของนโยบายการเงิน(policy space) ที่มีจำกัด โดยเห็นว่า เศรษฐกิจไทยปี 2568 และ 2569 มีแนวโน้มขยายตัว 2.2% และ 1.6% ตามลำดับ
ขณะที่ช่วงครึ่งปีหลังปี 2568 และ 2569 มีแนวโน้มชะลอตัวจากผลกระทบของมาตรการภาษีสหรัฐอเมริกา
ส่วนนักลงทุนและนักวิเคราะห์บางส่วนประเมินว่า จีดีพีไทยไตรมาส 3/2568 ที่ออกมา 1.2% นั้น ค่อนข้างอ่อนแอ และอาจกระตุ้นให้ คณะกรรมการกนง.ที่จะมีการประชุมครั้งสุดท้ายของปีในวันที่ 17 ธันวาคม 2568 ปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงได้
ดร.จิติพล พฤกษาเมธานันท์ ประธานเจ้าหน้าที่ผลิตภัณฑ์,หัวหน้าฝ่ายบริหารการลงทุนและที่ปรึกษาการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)ฟินันเซีย โซรัส จำกัด (มหาชน)เปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ”ว่า แม้ท่าทีของกนง.ไม่ปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย โดยเห็นได้จากกรรมการส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับจังหวะเวลาและประสิทธิผลของนโยบายการเงินภายใต้ขีดความสามารถที่จำกัด (policy space) แต่ภาพรวมของเศรษฐกิจรวมถึงสภาพแวดล้อมทางการเงินในปัจจุบันสามารถที่จะปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงได้ 0.25% ต่อปี
“ส่วนตัวมองว่า Policy Space จะกว้างหรือแคบนั้น ไม่สามารถใช้บริบทแบบเดิมได้ในปัจจุบัน เพราะขนาดของการเติบโตของเศรษฐกิจปัจจุบันอยู่ในระดับต่ำมากแล้ว จึงคาดว่า กนง.จะปรับลดดอกเบี้ยนโยบายในรอบการประชุมครั้งที่ 6 ของปี วันที่ 17 ธันวาคมนี้ และมีโอกาสเห็นดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ระดับ 1.0% ในปีหน้า หลังจากสิ้นปีนี้ปรับลดสู่ระดับ1.25%”
สอดคล้องกับนายเมธัส รัตนซ้อน หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์เศรษฐกิจ ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (TISCO ESU)กล่าวกับ “ฐานเศรษฐกิจ”ว่า TISCO ESU คาดว่า กนง. จะปรับลดดอกเบี้ยนโยบายจาก 1.50% เหลือ 1.25% ในรอบการประชุมครั้งสุดท้ายของปีนี้ และอาจลดต่อเนื่องในรอบแรกของปี 2569 เหลือ 1.00% น่าจะเป็นจุดสิ้นสุดวัฎจักรดอกเบี้ย “ขาลง”
ขณะที่ดร.พิมพ์นารา หิรัญกสิ หัวหน้าทีมวิจัยเศรษฐกิจและผู้บริหารสายงานวิจัย ธนาคาร กรุงศรีอยุธยา จำกัด(มหาชน)คาดว่ากนง.ปรับลดดอกเบี้ยนโยบายในรอบการประชุมครั้งสุดท้ายของปี2568 เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและบรรเทาภาระทางการเงินของภาคเอกชน
พร้อมระบุถึงหลายเหตุผลในการลดอกเบี้ยนโยบาย อาทิ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในช่วงที่เหลือของปีนี้มีแนวโน้มที่จะอยู่ในแดนลบต่อเนื่องนับตั้งแต่เดือนเมษายน และคาดอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยทั้งปี 2568 อาจกลับมาติดลบอีกครั้งในรอบ 5 ปี ที่ -0.1%
ขณะที่ภาคท่องเที่ยวมีสัญญาณฟื้นตัวอย่างช้าๆ ทั้งปัจจัยความกังวลด้านความปลอดภัยและการแข่งขันที่รุนแรงจากแหล่งท่องเที่ยวอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชีย
อีกทั้งมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายระยะสั้นในช่วงที่ผ่าน ไม่ว่า โครงการแจกเงินหมื่น โครงการคนละครึ่งพลัส /เที่ยวดีมีคืน ซึ่งเมื่อหมดแรงส่งจากมาตรการเหล่านี้ครัวเรือนจำต้องกลับมาพึ่งพารายได้ปกติ ซึ่งยังเติบโตช้าและไม่แข็งแรงพอจึงมีแนวโน้มที่การบริโภคภาคเอกชนในปี 2569 จะชะลอตัว
นอกจากนี้ หากมองไปในปีหน้ายังมีความไม่แน่นอนทางการเมืองในช่วงการเลือกตั้งทั่วประเทศอาจจำกัดความสามารถของรัฐบาลรักษาการในการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณ การอนุมัติโครงการลงทุนใหม่ และการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม บทบาทของการใช้จ่ายภาครัฐจึงอาจลดน้อยลงในช่วงครึ่งแรกของปีหน้า
เช่นเดียวกับศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) ประเมินว่า กนง. จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกครั้งในการประชุมเดือนธันวาคมนี้ และอีก 1 ครั้งในช่วงต้นปีหน้า เพื่อให้นโยบายการเงิน ช่วยลดความเปราะบางของเศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้าได้
หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,158 วันที่ 18 - 20 ธันวาคม พ.ศ. 2568