นายบุรินทร์ อดุลวัฒนะ กรรมการผู้จัดการ และ Chief Economist บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า ปี2569องค์การการค้าโลก (WTO) คาดว่าการค้าโลกมีแนวโน้มชะลอตัวลงจากปี 2568 ที่ขยายตัวได้ 2.4% มาอยู่ที่ 0.5% เนื่องจากมาตรการภาษีของทรัมป์ได้ส่งผลต่อต้นทุนการค้าและเพิ่มความไม่แน่นอน
แม้ปี2568การค้าโลกจะได้อานิสงส์จากเร่งส่งออกของภาคธุรกิจก่อนที่ภาษีฯเริ่มบังคับใช้จริงในเดือนส.ค.บวกแรงหนุนจากการส่งออกสินค้าเกี่ยวกับเทคโนโลยี่AI ที่พุ่งแรง
โดยเฉพาะการส่งออกจากเอเชียไปสหรัฐตามการลงทุนใน Data Centerและโครงสร้างพื้นฐานAIของสหรัฐสวนทางกับสินค้าประเภทอื่นที่ไม่ใช่AIที่ชะลอตัวลงอย่างชัดเจน สำหรับประเทศที่รับอานิสงส์คือ ไต้หวัน เกาหลีใต้ มาเลเซีย
อย่างไรก็ตาม แม้สหรัฐพยายามกันการนำเข้าสินค้าจากจีน แต่ตอนนี้เริ่มเห็นจีนส่งออกไปยังประเทศอื่นๆและได้ดุลการค้า 1ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐโดยจีนส่งออกไปอาเซียนเป็นอันดับ 1และสินค้าบางอย่างส่งผ่านทางประเทศอื่นไปยังสหรัฐ
“ปีหน้าความผันผวนของเศรษฐกิจโลกยังคงโตชะลอจาก 2ประเทศคือ สหรัฐกับจีนและเรื่องภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังไม่จบ ตอนนี้จีนเป็นแหล่งผลิตของโลก30%มาจากการบริโภคของสหรัฐ30% แม้สหรัฐพยายามที่จะกีดกั้นสินค้าที่นำเข้ามาจากจีนแต่สินค้าจีนไปทะลักผ่านประเทศอื่นๆแต่ จีนยังกับการแข่งขันทั้งการผลิตและสงครามราคาซึ่งกดดันการทำกำไรของภาคธุรกิจจีนอย่างต่อเนื่อง
-ส่งออกและการผลิตหดตัวฉุดจีดีพีเหลือโต1.6%
นางสาวณัฐพร ตรีรัตน์ศิริกุล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด กล่าวถึง เศรษฐกิจไทยว่ามีแนวโน้มชะลอลงในปี 2569 โดยคาดการณ์อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทย (จีดีพี)จะชะลอลงมาอยู่ที่ 1.6% จาก 2.0%ในปีนี้ ซึ่งจีดีพีปีหน้าหดตัวตามคาดการณ์การส่งออกจะหดตัว -1.2%จากที่คาดว่าขยายตัว11.0%ในปีนี้
เพราะเริ่มเห็นส่งออกไทยไปสหรัฐชะลอตัวจากที่โดนภาษีนำเข้าของสหรัฐ(Tariff Uncertainty)และจากดีมานด์การค้าโลกที่จะชะลอลงด้วย และเริ่มเห็นสัญญาณชะลอตัวใน 3ตลาดยังหดตัว ( ตลาดสหรัฐ ตลาดอาเซียน ตลาดญี่ปุ่น)
ขณะที่การท่องเที่ยวแม้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาเพิ่มแต่เติบโตช้าและต่ำกว่าในช่วงโควิด และการบริโภคภาคเอกชนหรือครัวเรือนส่งสัญญาณอ่อนแอลงด้วยหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูงกดดันการใช้จ่าย ประกอบกับเม็ดเงินที่เหลือในการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยเฉพาะงบกลางในปีหน้าเหลือประมาณ 6.5หมื่นล้านบาทซึ่งน้อยกว่าปี 2568 ทั้งนี้ ภายใต้เงื่อนไขที่รัฐบาลไม่ได้ก่อหนี้เพิ่ม
“ปีหน้าจะมีการเลือกตั้งซึ่งจะกระทบการเบิกจ่ายของภาครัฐด้วยข้อจำกัดความเสี่ยงด้านการคลัง โดยเฉพาะงบลงทุนแม้ต้นปีงบประมาณ 2569 ที่ผ่านมารัฐบาลได้มีการเร่งเบิกจ่าย งบลงทุนไปค่อนข้างมากแล้วใหม่ ซึ่งการเบิกจ่ายงบการลงทุนของภาครัฐอาจจะดร๊อปในช่วงการเลือกตั้ง/จะชะลอในไตรมาส1ของปีหน้า แต่ถ้าหลังการเลือกตั้งสามารถจัดตั้งรัฐบาลใหม่ได้เร็วการเบิกจ่ายและไทม์ไลน์ของปีงบประมาณ2570กจะไม่ดีเลย์”
นอกจากนี้ในส่วนของการลงทุนภาคเอกชนแม้ยังเป็นบวกแต่ชะลอลง ทั้งภาคการผลิตปีหน้ามีความเสี่ยงจะหดตัวและเม็ดเงินBOIเป็นเพียงส่วนเดียวของการลงทุนในประเทศ
นางสาวณัฐพรกล่าวเพิ่มเติมว่า ไฮไลต์ของปีหน้ายังมีความเสี่ยงเรื่อง “เงินฝีด” โดยคาดว่าเงินเฟ้อปีหน้าจะกลับมาเป็นบวกจากปีนี้คาดว่าเงินเฟ้อยังคงติดลบบางๆ -0.1% มาจากราคาอาหาร กับพลังงาน ส่วนเงินเฟ้อพื้นฐานยังเป็นบวก 0.8%แนวโน้มปีหน้าเงินเฟ้อพื้นฐานน่าจะลดลง -0.4%และอาจเห็นการลดลงของราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้น และดอกเบี้ยนโยบายมีแนวโน้มจะปรับลดลง 1ครั้ง
-ภาคธุรกิจเผชิญโจทย์เชิงโครงสร้างต้นทุนวัตถุดิบ แรงงาน แข่งขันเดือด
นางสาวเกวลิน หวังพิชญสุข รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า ปี 2569 แรงส่งเศรษฐกิจยังมาจากภาคบริการโดยท่องเที่ยวทยอยฟื้นหนุนธุรกิจบริการ แต่อัตราเติบโตชะลอลงเป็นส่วนใหญ่ (ค้าปลีก ร้านอาหารเครื่องดื่ม โรงพยาบาลเอกชนและก่อสร้าง)
โดยเฉพาะร้านอาหารมีการแข่งขันสูง เข้าง่ายออกเร็วและจำนวนผู้ประกอบการมากรายทั้งในประเทศและต่างประเทศที่เข้ามา และการผลิตสินค้าติดลบฉุดดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม(MPI)ติดลบเป็นปีที่ 4 โดยประเมินปีหน้าจะติดลบประมาณ -1.8%ซึ่งเป็นการติดลบที่ลึกขึ้นเพราะผลกากภาษีทรัมป์ทั้งปี และเผชิญกับการแข่งขัน กับสินค้านำเข้า
“ไทยเป็นส่วนหนึ่งของซัพพลายเชนของจีน ซึ่งการพึ่งพาจีนเยอะเป็นประเด็นสะท้อนความมั่นคงด้วย ถ้าไทยพึ่งตลาดใดตลาดหนึ่งมากถ้ามีอะไรเกิดขึ้นก็ไม่เป็นความมั่นคงดังนั้นโจทย์เชิงโครงสร้างของไทยที่ต้องกลับมาทบทวนPositionจะดันการผลิตใน Sector ไหน"
นอกจากยอดขายในฝั่งการผลิตและบริการที่เป็นโจทย์เชิงโครงสร้าง ภาคธุรกิจยังมีโจทย์ในเชิงต้นทุนวัตถุดิบซึ่งมีสัดส่วนมากประมาณ 50-70%สำหรับการผลิตในแต่ละอุตสาหกรรม และโจทย์ในเชิงค่าแรงที่สูงขึ้น (ค่าแรงขั้นต่ำ)
เพราะไทยยังมีโจทย์เชิงโครงสร้างที่ไทยเป็นสังคมสูงวัย มีวัยแรงงานที่ลดลง ใน 5-10 ปีข้างหน้าและแรงงานกัมพูชาที่กลับบ้านไป ส่วนการหาแรงงานจากที่อื่นจะมีต้นทุนที่สูงขึ้น เช่น ศรีลังกาต้นทุนแรงงานสูงขึ้นประมาณ 3 เท่าและภาคการผลิตมีแรงงาน 6ล้านคนที่เป็นโจทย์ในระยะกลางและระยะยาว
“เมื่อโจทก์ในเชิงสร้างรายได้ยากขึ้น การตลาดที่เล็กลง ต้นทุนที่ยังคาอยู่ หลายตัวปรับสูงขึ้น ดังนั้นภาคธุรกิจ ยังคงเจอความท้าทาย ด้านรายได้สุทธิที่ยากขึ้น เพราะฉะนั้น การเพิ่มผลิตภาพหรือ productivityยังเป็นตัวแปร
สภาพคล่อง รวมถึงการปรับตัวไปกับเทรนต่างๆไม่ว่าเทรนด์สุขภาพ เทรนความยั่งยืนและเทรนด์เทคโนโลยี่ ให้มีความแตกต่างและให้ลูกค้ามาเลือกเรา และการหาตลาดใหม่ เหล่านี้เป็นจุดที่ไม่ง่าย โดยรวมภาคธุรกิจปีหน้ายังมีโจทย์ความยากและยังเหนื่อยต่อค่าเงินบาทในปีหน้ายังคงผันผวนตามสถานการณ์ต่างๆ โดยค่าเงินบาทยังไม่ใช่ปัจจัยหนุนการดำเนินธุรกิจ”
-ปัญหาหนี้ยังเป็นประเด็นต่อเนื่องในปี69
นางสาวธัญญลักษณ์ วัชระชัยสุรพล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด กล่าวว่าปีหน้าสินเชื่อของระบบธนาคารพาณิชย์จดทะเบียนในประเทศ มีแนวโน้มหดตัว 0.7%ตามการหดตัวของสินเชื่อSMEและรายย่อย -4.0% และ -1.0%ตามลำดับ จากคาดว่าสิ้นปี2568สินเชื่อภาพรวมจะหดตัวลง -2.3%
โดยสินเชื่อรายย่อยยังหดตัว ทั้งสินเชื่อบ้านและสินเชื่อเช่าซื้อ ด้วยสัดส่วนหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงแม้ชะลอลงแต่ยังคงสูงกว่าระดับ 80% ปีหน้าคาดว่าจะยังยังคงหดตัวลงมาอยู่ที่ระดับไม่เกิน 85% ปีหน้าจึงต้องติดตามความสามารถในการชำระหนี้ของครัวเรือน และหนี้ด้อยคุณภาพของภาคธุรกิจขยับขึ้น ดังนั้นปัญหาคุณภาพหนี้ยังเป็นประเด็นต่อเนื่องในปี2569