ธนาคารกรุงไทย “ธนาคารพาณิชย์ของรัฐ” มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนสองภารกิจควบคู่กัน ทั้งการสร้างผลตอบแทนแข่งขันในตลาดการเงิน และการเป็นกำลังสำคัญของภาครัฐในการผลักดันนโยบายช่วยเหลือประชาชน ในช่วง 4–5 ปีที่ผ่านมา
นายสุริพงษ์ ตันติยานนท์ ประธานผู้บริหาร Retail Banking ธนาคารกรุงไทยกล่าวว่า ในฐานะธนาคารพาณิชย์ กรุงไทยมีหน้าที่ในการทำกิจกรรมทางการเงินและโซลูชันต่างๆ เพื่อการแข่งขัน
แต่ในอีกบทบาทหนึ่งคือ การตอบโจทย์ภาคสังคมและภาครัฐ โดยทำหน้าที่เป็น “พันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์ของภาครัฐ” เพื่อให้ประเทศดีขึ้น
ทั้งนี้ กรุงไทยมีส่วนช่วยสำคัญกับภาครัฐ เพื่อส่งต่อนโยบายช่วยเหลือประชาชน โดยหนึ่งในความสำเร็จ คือ แอปพลิเคชันเป๋าตัง ซึ่งเป็น Open Platform ที่พัฒนาขึ้นเพื่อตอบโจทย์ภาครัฐในช่วงโควิด ซึ่งขณะนี้มีประชาชนใช้งานกว่า 40 ล้านราย และยังมีบทบาทหลักในการทำโครงการคนละครึ่ง ทั้งเวอร์ชัน 1 และ 2 รวมถึงการอำนวยความสะดวกให้ร้านค้า ผ่านแอปพลิเคชันถุงเงิน
ปัจจุบัน กรุงไทยได้พัฒนาแอปพลิเคชันเป๋าตัง ให้มีฟังก์ชันหลากหลาย เช่น การซื้อพันธบัตรรัฐบาล และมีฟังก์ชัน Health Wallet ที่ช่วยให้ประชาชนตรวจสอบสิทธิ์และโควต้ายาฟรีที่รัฐบาลจัดให้
ปัจจุบันกรุงไทยมีมีฐานลูกค้ารวมกว่า 73 ล้านคน แบ่งเป็น ลูกค้ากลุ่มโมบายแบงก์กิ้ง 21 ล้านคน แอปพลิเคชันเป๋าตัง 40 ล้านคน แอปพลิเคชันไลน์ 23 ล้านคน และร้านค้าในแอปพลิเคชันถุงเงิน 2 ล้านคน
และมีสาขา 960 ทั่วประเทศ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการช่วยอำนวยความสะดวกในการลงทะเบียนโครงการต่าง ๆ เช่น คนละครึ่ง โดยเฉพาะสำหรับกลุ่มเป้าหมายที่ไม่มั่นใจในการใช้ดิจิทัล
ในมุมของของผู้ถือหุ้นเอง มูลค่าตลาด (Market Cap) ของกรุงไทยเพิ่มขึ้นประมาณ 3 เท่า เมื่อเทียบกับ 4-5 ปีที่แล้ว และช่องว่างของกำไรสุทธิ (Net Profit Gap) ระหว่างกรุงไทยกับธนาคารชั้นนำอื่นๆ ได้ปิดลง หากเทียบตัวเลข ณ สิ้นปี 2567 กรุงไทยคาดว่าจะมีกำไรสุทธิอยู่ที่เกือบ 44,000 ล้านบาท ซึ่งอยู่ในระดับใกล้เคียงกับธนาคารอื่นๆ ในกลุ่มเดียวกัน
“การที่ Market Cap ของกรุงไทยเพิ่มขึ้น จาก 155,000 ล้านบาท ในปี 2563 เป็น 380,000 ล้านบาท ทำให้กระทรวงการคลังซึ่งถือหุ้นอยู่ 55% ได้ผลประโยชน์จาก Capital Gain ประมาณ 124,000 ล้านบาท และในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา กรุงไทยได้คืนเงินให้กับประเทศผ่าน FIDF Fee, ภาษีที่ต้องจ่ายในฐานะธนาคารพาณิชย์, และเงินปันผล รวมกว่า 122,000 ล้านบาท”
ด้านความแข็งแกร่งคุณภาพสินทรัพย์ของกรุงไทยนั้น สัดส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ลดลงมาจาก 3.8% ในปี 2563 ปัจจุบันเหลือประมาณ 2.9% และหากพิจารณาตัวเลข NPL โดยไม่รวมสินเชื่อภาครัฐ ซึ่งมีความเสี่ยงต่ำ NPL ได้ลดลงจาก 4.4% ในปี 2563 เหลือ 3.4% ในปัจจุบัน เทียบเท่ากับธนาคารพาณิชย์อื่นๆ
นายธวัชชัย ชีวานนท์ ประธานผู้บริหาร Product & Business Solutions ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า กรุงไทย ยังเผชิญความท้าทายทั้งในระดับโลกและระดับประเทศที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย เนื่องจากโลกกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ
เช่น ภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitical) การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) สังคมสูงวัย (Aging Society) การย้ายถิ่นฐานเข้าสู่เมือง และการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีที่ส่งผลต่อพฤติกรรมของผู้บริโภค
อย่างไรก็ตาม ธนาคารมีเป้าหมายที่จะมี ROE (Return on Equity) มากกว่า 10% ตั้งแต่ปี 2568 เป็นต้นไป เพื่อให้ผู้ถือหุ้นเห็นมูลค่า และทำให้ราคาหุ้น (Price Book Value) เติบโตขึ้น กรุงไทยจึงได้กำหนดยุทธศาสตร์ 5 ด้านในการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง ได้แก่
หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,154 วันที่ 4 - 6 ธันวาคม พ.ศ. 2568