กรุงไทยเปิด 5 ยุทธศาสตร์ เพิ่ม ROE 10%  ขับเคลื่อนงานรัฐ-คืนรายได้ 1.2 แสนล้าน

07 ธ.ค. 2568 | 02:50 น.
อัปเดตล่าสุด :07 ธ.ค. 2568 | 02:50 น.

กรุงไทยเดินหน้า 5 ยุทธศาสตร์ ขับเคลื่อนงานภาครัฐ ดันประชาชนเข้าระบบ คืนรายได้ให้ประเทศกว่า 1.2 แสนล้านบาท พร้อมสร้างความแข็งแกร่ง วางเป้า ROE โตพุ่ง 10% สร้างผลตอบแทนผู้ถือหุ้น

ธนาคารกรุงไทย “ธนาคารพาณิชย์ของรัฐ” มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนสองภารกิจควบคู่กัน ทั้งการสร้างผลตอบแทนแข่งขันในตลาดการเงิน และการเป็นกำลังสำคัญของภาครัฐในการผลักดันนโยบายช่วยเหลือประชาชน ในช่วง 4–5 ปีที่ผ่านมา 

นายสุริพงษ์ ตันติยานนท์ ประธานผู้บริหาร Retail Banking ธนาคารกรุงไทยกล่าวว่า ในฐานะธนาคารพาณิชย์ กรุงไทยมีหน้าที่ในการทำกิจกรรมทางการเงินและโซลูชันต่างๆ เพื่อการแข่งขัน

แต่ในอีกบทบาทหนึ่งคือ การตอบโจทย์ภาคสังคมและภาครัฐ โดยทำหน้าที่เป็น “พันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์ของภาครัฐ” เพื่อให้ประเทศดีขึ้น

ทั้งนี้ กรุงไทยมีส่วนช่วยสำคัญกับภาครัฐ เพื่อส่งต่อนโยบายช่วยเหลือประชาชน โดยหนึ่งในความสำเร็จ คือ แอปพลิเคชันเป๋าตัง ซึ่งเป็น Open Platform ที่พัฒนาขึ้นเพื่อตอบโจทย์ภาครัฐในช่วงโควิด ซึ่งขณะนี้มีประชาชนใช้งานกว่า 40 ล้านราย และยังมีบทบาทหลักในการทำโครงการคนละครึ่ง ทั้งเวอร์ชัน 1 และ 2 รวมถึงการอำนวยความสะดวกให้ร้านค้า ผ่านแอปพลิเคชันถุงเงิน  

กรุงไทยเปิด 5 ยุทธศาสตร์ เพิ่ม ROE 10%  ขับเคลื่อนงานรัฐ-คืนรายได้ 1.2 แสนล้าน

ปัจจุบัน กรุงไทยได้พัฒนาแอปพลิเคชันเป๋าตัง ให้มีฟังก์ชันหลากหลาย เช่น การซื้อพันธบัตรรัฐบาล และมีฟังก์ชัน Health Wallet ที่ช่วยให้ประชาชนตรวจสอบสิทธิ์และโควต้ายาฟรีที่รัฐบาลจัดให้ 

ปัจจุบันกรุงไทยมีมีฐานลูกค้ารวมกว่า 73 ล้านคน แบ่งเป็น ลูกค้ากลุ่มโมบายแบงก์กิ้ง 21 ล้านคน แอปพลิเคชันเป๋าตัง 40 ล้านคน แอปพลิเคชันไลน์ 23 ล้านคน และร้านค้าในแอปพลิเคชันถุงเงิน 2 ล้านคน

และมีสาขา 960 ทั่วประเทศ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการช่วยอำนวยความสะดวกในการลงทะเบียนโครงการต่าง ๆ เช่น คนละครึ่ง โดยเฉพาะสำหรับกลุ่มเป้าหมายที่ไม่มั่นใจในการใช้ดิจิทัล 

ในมุมของของผู้ถือหุ้นเอง มูลค่าตลาด (Market Cap) ของกรุงไทยเพิ่มขึ้นประมาณ 3 เท่า เมื่อเทียบกับ 4-5 ปีที่แล้ว และช่องว่างของกำไรสุทธิ (Net Profit Gap) ระหว่างกรุงไทยกับธนาคารชั้นนำอื่นๆ ได้ปิดลง หากเทียบตัวเลข ณ สิ้นปี 2567 กรุงไทยคาดว่าจะมีกำไรสุทธิอยู่ที่เกือบ 44,000 ล้านบาท ซึ่งอยู่ในระดับใกล้เคียงกับธนาคารอื่นๆ ในกลุ่มเดียวกัน  

“การที่ Market Cap ของกรุงไทยเพิ่มขึ้น จาก 155,000 ล้านบาท ในปี 2563 เป็น 380,000 ล้านบาท ทำให้กระทรวงการคลังซึ่งถือหุ้นอยู่ 55% ได้ผลประโยชน์จาก Capital Gain ประมาณ 124,000 ล้านบาท และในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา กรุงไทยได้คืนเงินให้กับประเทศผ่าน FIDF Fee, ภาษีที่ต้องจ่ายในฐานะธนาคารพาณิชย์, และเงินปันผล รวมกว่า 122,000 ล้านบาท” 

ด้านความแข็งแกร่งคุณภาพสินทรัพย์ของกรุงไทยนั้น สัดส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ลดลงมาจาก 3.8% ในปี 2563 ปัจจุบันเหลือประมาณ 2.9% และหากพิจารณาตัวเลข NPL โดยไม่รวมสินเชื่อภาครัฐ ซึ่งมีความเสี่ยงต่ำ NPL ได้ลดลงจาก 4.4% ในปี 2563 เหลือ 3.4% ในปัจจุบัน เทียบเท่ากับธนาคารพาณิชย์อื่นๆ   

นายธวัชชัย ชีวานนท์ ประธานผู้บริหาร Product & Business Solutions ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า กรุงไทย ยังเผชิญความท้าทายทั้งในระดับโลกและระดับประเทศที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย เนื่องจากโลกกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ 

เช่น ภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitical) การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) สังคมสูงวัย (Aging Society) การย้ายถิ่นฐานเข้าสู่เมือง และการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีที่ส่งผลต่อพฤติกรรมของผู้บริโภค  

อย่างไรก็ตาม ธนาคารมีเป้าหมายที่จะมี ROE (Return on Equity) มากกว่า 10% ตั้งแต่ปี 2568 เป็นต้นไป เพื่อให้ผู้ถือหุ้นเห็นมูลค่า และทำให้ราคาหุ้น (Price Book Value) เติบโตขึ้น กรุงไทยจึงได้กำหนดยุทธศาสตร์ 5 ด้านในการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ 

  1. มุ่งเน้นการใช้ความสัมพันธ์และการเชื่อมต่อกับหน่วยงานภาครัฐเพื่อสร้างรายได้และทำธุรกิจกับลูกค้าในกลุ่มธุรกิจ SME และ รายย่อยให้ดีมากยิ่งขึ้น โดยเน้นการสร้างรายได้จาก Ecosystem ที่เชื่อมโยงกับภาครัฐ เช่น Health Ecosystem, Educational Ecosystem 
  2. สร้างแพลตฟอร์มที่ส่งเสริมการเติบโตในอนาคต เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าอย่างครบวงจร ทำให้ประชาชนทุกระดับชั้นเข้าถึงแหล่งเงินทุนและบริการทางการเงินได้ดียิ่งขึ้น และเป็นมากกว่าการให้บริการทางการเงิน ได้แก่ Wealth-Tech Virtual Banking, Banking as a Service รวมทั้งพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจตามแนวทาง ESG และการพัฒนาที่ยั่งยืน 
  3. ยกระดับการให้บริการลูกค้าทั้งระบบแบบ End to End นำเสนอรูปแบบและวิธีการบริการใหม่ๆ จากต้นจนจบที่ทันสมัย รวดเร็ว ปลอดภัย และเชื่อมโยงกันมากขึ้น ปรับปรุงกระบวนการทำงานให้เป็น Process Digitalization โดยเร่งนำข้อมูลและเทคโนโลยีมาใช้ในกระบวนการทำงาน สามารถตอบโจทย์ได้ตรงรูปแบบและประเภทลูกค้าทั้งลูกค้าธุรกิจและลูกค้าบุคคลผ่านช่องทางหลากหลายโดยเฉพาะ Digital Channel 
  4. พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเทคโนโลยีและข้อมูลให้พร้อมสำหรับการก้าวสู่อนาคต เพื่อสนับสนุนการส่งมอบผลิตภัณฑ์และบริการที่ดีที่สุด และสร้างความมั่นใจของลูกค้าที่ให้ความไว้วางใจในการใช้บริการของธนาคาร รวมทั้งเสริมสร้างความแข็งแกร่งในด้าน Data Analytics เพื่อให้เข้าใจความต้องการของลูกค้าและก้าวเข้าสู่การเป็น Personalized Banking ผ่านหลากหลายช่องทาง 
  5. ขับเคลื่อนวัฒนธรรมและการทำงานรูปแบบใหม่ เพื่อให้พร้อมต่อทุกความท้าทายและทุกการเปลี่ยนแปลง สร้างรูปแบบใหม่ในการทำงาน กล้าเปลี่ยน เพื่อก้าวนำ เร่งปรับวิธีการทำงานรูปแบบใหม่ พร้อมยกระดับพนักงานให้มีทักษะใหม่ๆ (Upskill / Reskill) โดยเฉพาะทักษะความเข้าใจและการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล (Digital Literacy)

 

หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,154 วันที่ 4 - 6 ธันวาคม  พ.ศ. 2568