KEY
POINTS
สัปดาห์นี้นักลงทุนทั่วโลกจับตา 3 เหตุการณ์สำคัญ การประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ที่คาดว่าจะประกาศลดอัตราดอกเบี้ยอีกครั้ง, งบไตรมาสของบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ เช่น Microsoft, Apple และ Amazon และการพบกันระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง คาดว่าจะมีขึ้นในวันพฤหัสบดี (30 ตุลาคม) การประชุม APEC ที่เกาหลีใต้ ท่ามกลางแรงกดดันจากเงินเฟ้อที่เริ่มชะลอตัวและความไม่แน่นอนทางการค้าโลก
ตลาดหุ้นสหรัฐปิดสัปดาห์ก่อนหน้าด้วยระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ หลังจากการเปิดเผยรายงานดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนกันยายนที่ล่าช้าออกมาแสดงให้เห็นว่าแรงกดดันเงินเฟ้อลดลง ซึ่งช่วยรักษาแนวโน้มให้เฟดเดินหน้าลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมวันพุธที่จะถึงนี้
เดิมทีรายงาน CPI เดือนกันยายนมีกำหนดเผยแพร่เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม หากรัฐบาลไม่ถูกปิดทำการ ผลตัวเลขออกมาที่ 3% ต่ำกว่าคาดการณ์ 0.1 จุดเปอร์เซ็นต์ แต่สูงกว่าระดับเดือนสิงหาคมซึ่งอยู่ที่ 2.9% เล็กน้อย
ในด้าน "Core CPI" ซึ่งตัดราคาพลังงานและอาหารออก ซึ่งเป็นมาตรวัดที่เฟดให้ความสำคัญ เงินเฟ้อเดือนกันยายนเพิ่มขึ้น 3% ชะลอตัวจากเดือนก่อนหน้าที่ 3.1% และเพิ่มขึ้น 0.2% เมื่อเทียบรายเดือน หลังจากขยายตัว 0.3% ต่อเนื่องสองเดือนก่อนหน้า
นอกจากการประชุมเฟดแล้ว สัปดาห์นี้นักลงทุนยังจะได้รับข้อมูลสำคัญจากดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของ Conference Board ซึ่งจะเผยแพร่ในวันอังคารนี้ (28 ตุลาคม)
ในส่วนของผลประกอบการ สัปดาห์นี้ถือว่าเป็นช่วงที่คึกคักที่สุดของฤดูกาลประกาศงบ โดยกลุ่มบิ๊กเทค อย่าง Microsoft Amazon Apple Alphabet และ Meta จะเปิดเผยผลประกอบการไตรมาสล่าสุด นักลงทุนจะจับตาว่าบริษัทเหล่านี้ยังสามารถรักษาความคาดหวังสูงจากกระแสปัญญาประดิษฐ์ (AI) ได้หรือไม่
บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านพลังงาน 4 ใน 5 รายของโลก ได้แก่ Exxon Mobil Chevron Shell PLC และ TotalEnergies SE ก็จะรายงานงบเช่นกัน รวมถึงบริษัทอื่น ๆ อย่าง UnitedHealth Group Verizon Southern Company และบริษัทชั้นนำในอุตสาหกรรมอื่น ๆ
นักวิเคราะห์คาดว่า เฟดจะให้ความสำคัญกับภาวะตลาดแรงงาน แม้การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (FOMC) ครั้งนี้จะไม่มีรายงานการจ้างงานเดือนกันยายนออกมาเนื่องจากการปิดหน่วยงานรัฐบาล แต่รายงาน CPI ที่ออกมาต่ำกว่าคาดนี้น่าจะสร้างความมั่นใจให้กับเฟด ซึ่งก่อนหน้านี้มีแนวโน้มจะลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติมในเดือนตุลาคมและธันวาคมอยู่แล้ว
นักวิเคราะห์จาก Bank of America เขียนในบันทึกเมื่อวันศุกร์ว่า ในกรณีที่ไม่มีรายงานการจ้างงานเดือนกันยายน การลดดอกเบี้ยเดือนตุลาคมถือว่าเป็นเรื่องที่จบแล้ว
นักวิเคราะห์ของ BofA ระบุเพิ่มเติมว่า จากข้อมูลเอกชน ผลสำรวจของเฟด และข้อมูลการขอรับสวัสดิการว่างงานของแต่ละรัฐ ตลาดแรงงาน ในกรณีดีที่สุดก็เพียงทรงตัว และในกรณีแย่ที่สุดเริ่มอ่อนแอลง ตั้งแต่รัฐบาลเริ่มปิดทำการ
นอกจากนี้ การปิดหน่วยงานรัฐบาลยังเริ่มส่งผลทางการเมืองมากขึ้น เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ของรัฐที่ถูกพักงานเริ่มไม่ได้รับค่าจ้างเป็นครั้งแรก ปัจจุบันการปิดหน่วยงานครั้งนี้กลายเป็นครั้งที่ยาวนานที่สุดเป็นอันดับสองในประวัติศาสตร์ รองจากปี 2018 (พ.ศ. 2561) ที่กินเวลา 35 วัน
ขณะนี้นักลงทุนในตลาดฟิวเจอร์สให้น้ำหนักความเป็นไปได้ 97.6% ว่าเฟดจะลดดอกเบี้ยอีก 0.25 จุด หลังจากลดไปแล้วในเดือนกันยายน ซึ่งจะทำให้กรอบอัตราดอกเบี้ยเป้าหมายลดจาก 4.00–4.25% ลงมาอยู่ที่ 3.75–4.00%
สงครามการค้าที่เดิมพันสูง
หลังจากเกิดความไม่แน่นอนเรื่องเวลาและความเป็นไปได้ของการพบปะกัน ดัชนีหุ้นหลักทั้งสามของสหรัฐฯ พุ่งขึ้นเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา หลังทำเนียบขาวยืนยันว่าประธานาธิบดีทรัมป์จะพบกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ระหว่างการประชุมสุดยอด APEC การพบกันนี้เกิดขึ้นจะเปิดโอกาสให้ทั้งสองผู้นำเจรจาและหาทางออกต่อสงครามการค้าที่ดำเนินมานาน
เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา จีนได้จำกัดการส่งออกแร่หายากอย่างเข้มงวด ทำให้สหรัฐฯ ต้องเร่งสร้างห่วงโซ่อุปทานภายในประเทศที่แทบไม่มีอยู่ก่อน ขณะเดียวกัน การพบปะครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ประกาศคว่ำบาตรบริษัทน้ำมันรายใหญ่ของรัสเซียทั้งรัฐวิสาหกิจ Rosneft และบริษัทเอกชน Lukoil เพื่อกดดันให้ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน เจรจาเกี่ยวกับสงครามในยูเครน
ก่อนหน้าที่จีนจะออกมาตรการควบคุมการส่งออกแร่ จีนแทบจะหยุดซื้อถั่วเหลืองจากสหรัฐฯ ส่งผลให้เกษตรกรอเมริกันจำนวนมากขาดตลาดรองรับผลผลิต สมาคมผู้ปลูกถั่วเหลืองแห่งสหรัฐฯ ระบุในแถลงการณ์เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมาว่า สงครามการค้าเป็นอันตรายต่อทุกฝ่าย และพัฒนาการล่าสุดนี้น่าผิดหวังอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่เกษตรกรถั่วเหลืองกำลังเผชิญวิกฤตการเงินที่รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ
นักเศรษฐศาสตร์จาก Goldman Sachs คาดว่า บริษัทต่าง ๆ จะส่งผ่านต้นทุนจากภาษีศุลกากรราว 70% ไปยังผู้บริโภค หมายความว่าสินค้าอุปโภคบริโภคทั่วไปจะมีราคาแพงขึ้น และถึงแม้ว่าการพบกันระหว่างทรัมป์และสีในสัปดาห์นี้จะดำเนินไปอย่างราบรื่นก็ตาม แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าความไม่แน่นอนในตลาดจะหมดไป