จับตาสัปดาห์ชี้ชะตาเศรษฐกิจโลก 3 เหตุการณ์สำคัญเขย่าตลาด

27 ต.ค. 2568 | 02:10 น.
อัปเดตล่าสุด :27 ต.ค. 2568 | 02:39 น.

สัปดาห์นี้ตลาดการเงินทั่วโลกจับตาความเคลื่อนไหวสำคัญ การประชุมเฟดชี้ทิศดอกเบี้ย, งบไตรมาสบริษัทยักษ์เทคโนโลยี และการพบกันระหว่างทรัมป์กับสีจิ้นผิง

KEY

POINTS

  • การประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ที่คาดว่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีกครั้ง หลังตัวเลขเงินเฟ้อชะลอตัวลง
  • การประกาศผลประกอบการไตรมาสล่าสุดของบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ ซึ่งเป็นที่จับตาว่าจะรักษาการเติบโตจากกระแส AI ได้หรือไม่
  • การพบปะระหว่างผู้นำสหรัฐฯ และจีน เพื่อเจรจาหาทางออกของสงครามการค้าที่ส่งผลกระทบต่อตลาดโลก

สัปดาห์นี้นักลงทุนทั่วโลกจับตา 3 เหตุการณ์สำคัญ การประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ที่คาดว่าจะประกาศลดอัตราดอกเบี้ยอีกครั้ง, งบไตรมาสของบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ เช่น Microsoft, Apple และ Amazon และการพบกันระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง คาดว่าจะมีขึ้นในวันพฤหัสบดี (30 ตุลาคม) การประชุม APEC ที่เกาหลีใต้ ท่ามกลางแรงกดดันจากเงินเฟ้อที่เริ่มชะลอตัวและความไม่แน่นอนทางการค้าโลก

ตลาดหุ้นสหรัฐปิดสัปดาห์ก่อนหน้าด้วยระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ หลังจากการเปิดเผยรายงานดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนกันยายนที่ล่าช้าออกมาแสดงให้เห็นว่าแรงกดดันเงินเฟ้อลดลง ซึ่งช่วยรักษาแนวโน้มให้เฟดเดินหน้าลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมวันพุธที่จะถึงนี้

เดิมทีรายงาน CPI เดือนกันยายนมีกำหนดเผยแพร่เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม หากรัฐบาลไม่ถูกปิดทำการ ผลตัวเลขออกมาที่ 3% ต่ำกว่าคาดการณ์ 0.1 จุดเปอร์เซ็นต์ แต่สูงกว่าระดับเดือนสิงหาคมซึ่งอยู่ที่ 2.9% เล็กน้อย

ในด้าน "Core CPI" ซึ่งตัดราคาพลังงานและอาหารออก ซึ่งเป็นมาตรวัดที่เฟดให้ความสำคัญ เงินเฟ้อเดือนกันยายนเพิ่มขึ้น 3% ชะลอตัวจากเดือนก่อนหน้าที่ 3.1% และเพิ่มขึ้น 0.2% เมื่อเทียบรายเดือน หลังจากขยายตัว 0.3% ต่อเนื่องสองเดือนก่อนหน้า

นอกจากการประชุมเฟดแล้ว สัปดาห์นี้นักลงทุนยังจะได้รับข้อมูลสำคัญจากดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของ Conference Board ซึ่งจะเผยแพร่ในวันอังคารนี้ (28 ตุลาคม)

ในส่วนของผลประกอบการ สัปดาห์นี้ถือว่าเป็นช่วงที่คึกคักที่สุดของฤดูกาลประกาศงบ โดยกลุ่มบิ๊กเทค อย่าง Microsoft  Amazon Apple  Alphabet  และ Meta จะเปิดเผยผลประกอบการไตรมาสล่าสุด นักลงทุนจะจับตาว่าบริษัทเหล่านี้ยังสามารถรักษาความคาดหวังสูงจากกระแสปัญญาประดิษฐ์ (AI) ได้หรือไม่

บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านพลังงาน 4 ใน 5 รายของโลก ได้แก่ Exxon Mobil  Chevron  Shell PLC  และ TotalEnergies SE  ก็จะรายงานงบเช่นกัน รวมถึงบริษัทอื่น ๆ อย่าง UnitedHealth Group Verizon  Southern Company  และบริษัทชั้นนำในอุตสาหกรรมอื่น ๆ

นักวิเคราะห์คาดว่า เฟดจะให้ความสำคัญกับภาวะตลาดแรงงาน แม้การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (FOMC) ครั้งนี้จะไม่มีรายงานการจ้างงานเดือนกันยายนออกมาเนื่องจากการปิดหน่วยงานรัฐบาล แต่รายงาน CPI ที่ออกมาต่ำกว่าคาดนี้น่าจะสร้างความมั่นใจให้กับเฟด ซึ่งก่อนหน้านี้มีแนวโน้มจะลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติมในเดือนตุลาคมและธันวาคมอยู่แล้ว

นักวิเคราะห์จาก Bank of America เขียนในบันทึกเมื่อวันศุกร์ว่า ในกรณีที่ไม่มีรายงานการจ้างงานเดือนกันยายน การลดดอกเบี้ยเดือนตุลาคมถือว่าเป็นเรื่องที่จบแล้ว

นักวิเคราะห์ของ BofA ระบุเพิ่มเติมว่า จากข้อมูลเอกชน ผลสำรวจของเฟด และข้อมูลการขอรับสวัสดิการว่างงานของแต่ละรัฐ ตลาดแรงงาน ในกรณีดีที่สุดก็เพียงทรงตัว และในกรณีแย่ที่สุดเริ่มอ่อนแอลง ตั้งแต่รัฐบาลเริ่มปิดทำการ

นอกจากนี้ การปิดหน่วยงานรัฐบาลยังเริ่มส่งผลทางการเมืองมากขึ้น เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ของรัฐที่ถูกพักงานเริ่มไม่ได้รับค่าจ้างเป็นครั้งแรก ปัจจุบันการปิดหน่วยงานครั้งนี้กลายเป็นครั้งที่ยาวนานที่สุดเป็นอันดับสองในประวัติศาสตร์ รองจากปี 2018 (พ.ศ. 2561) ที่กินเวลา 35 วัน

ขณะนี้นักลงทุนในตลาดฟิวเจอร์สให้น้ำหนักความเป็นไปได้ 97.6% ว่าเฟดจะลดดอกเบี้ยอีก 0.25 จุด หลังจากลดไปแล้วในเดือนกันยายน ซึ่งจะทำให้กรอบอัตราดอกเบี้ยเป้าหมายลดจาก 4.00–4.25% ลงมาอยู่ที่ 3.75–4.00%

สงครามการค้าที่เดิมพันสูง

หลังจากเกิดความไม่แน่นอนเรื่องเวลาและความเป็นไปได้ของการพบปะกัน ดัชนีหุ้นหลักทั้งสามของสหรัฐฯ พุ่งขึ้นเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา หลังทำเนียบขาวยืนยันว่าประธานาธิบดีทรัมป์จะพบกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ระหว่างการประชุมสุดยอด APEC การพบกันนี้เกิดขึ้นจะเปิดโอกาสให้ทั้งสองผู้นำเจรจาและหาทางออกต่อสงครามการค้าที่ดำเนินมานาน

เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา จีนได้จำกัดการส่งออกแร่หายากอย่างเข้มงวด ทำให้สหรัฐฯ ต้องเร่งสร้างห่วงโซ่อุปทานภายในประเทศที่แทบไม่มีอยู่ก่อน ขณะเดียวกัน การพบปะครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ประกาศคว่ำบาตรบริษัทน้ำมันรายใหญ่ของรัสเซียทั้งรัฐวิสาหกิจ Rosneft และบริษัทเอกชน Lukoil เพื่อกดดันให้ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน เจรจาเกี่ยวกับสงครามในยูเครน

ก่อนหน้าที่จีนจะออกมาตรการควบคุมการส่งออกแร่ จีนแทบจะหยุดซื้อถั่วเหลืองจากสหรัฐฯ ส่งผลให้เกษตรกรอเมริกันจำนวนมากขาดตลาดรองรับผลผลิต สมาคมผู้ปลูกถั่วเหลืองแห่งสหรัฐฯ ระบุในแถลงการณ์เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมาว่า สงครามการค้าเป็นอันตรายต่อทุกฝ่าย และพัฒนาการล่าสุดนี้น่าผิดหวังอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่เกษตรกรถั่วเหลืองกำลังเผชิญวิกฤตการเงินที่รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ

นักเศรษฐศาสตร์จาก Goldman Sachs คาดว่า บริษัทต่าง ๆ จะส่งผ่านต้นทุนจากภาษีศุลกากรราว 70% ไปยังผู้บริโภค หมายความว่าสินค้าอุปโภคบริโภคทั่วไปจะมีราคาแพงขึ้น และถึงแม้ว่าการพบกันระหว่างทรัมป์และสีในสัปดาห์นี้จะดำเนินไปอย่างราบรื่นก็ตาม แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าความไม่แน่นอนในตลาดจะหมดไป