KEY
POINTS
ธนาคารแห่งประเทศไทยและสมาคมค้าทองคำเดินหน้ากำหนดแนวทางควบคุมการซื้อขายทองคำ ตั้งหน่วยงานกำกับพฤติกรรมการซื้อขายทองคำ พร้อมตั้งเคลียริ่งเฮาส์ เพื่อลดผลกระทบจากค่าเงินบาทที่แข็งตัว
ราคาทองคำในไทยปรับตัวพักฐาน คาดปีหน้าแตะ 63,500 บาทต่อบาททองคำ โดยมีปัจจัยจากการลดดอกเบี้ยเฟดและการ De-dollarization แต่ ราคาทองคำยังคงอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น หลังสถานการณ์ "Government Shutdown" ในสหรัฐอเมริกา หนุนการลดดอกเบี้ยจากเฟด
กรุงไทยชี้ ท่าทีทางการในหลายๆ เรื่องในการจำกัดการแข็งค่าของเงินบาท ส่งผลเงินบาทแข็งค่าลดลง คาดแนวโน้มถึงสิ้นปีคาดว่ากรอบจะสูงกว่า 32.50 บาทต่อดอลล่าร์
นพ.กฤชรัตน์ หิรัณยศิริ ประธานกรรมการฝ่ายบริหาร กลุ่มบริษัทในเครือเอ็มทีเอส โกลด์ แม่ทองสุก (MTS)เปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ”ถึงความคืบหน้าการร่วมระหว่างผู้ค้าทองคำกับธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เมื่อวันที่ 1 ต.ค.2568 โดยมีการหารือใน 3 ประเด็นได้แก่
1.ธปท.ติดตามความคืบหน้าของการกำกับดูแลทองคำแท่งออนไลน์หรือ SRO ในสมาคมค้าทองคำ ซึ่งระบบจะเริ่มดำเนินงานได้ในอีก 2-3เดือน และกำหนดเสร็จเรียบร้อยภายใน 12 เดือนหลังจากทำงานกันมาแล้ว 1ปี โดยเป้าหมายของ SRO เพื่อดูแลตรวจสอบควบคุมกันเองระหว่างบริษัทซื้อขายทองคำแท่งออนไลน์ ซึ่งอยู่ภายใต้สมาคมค้าทองคำ
2.ความพยายามจะลดความผันผวนของค่าเงินบาท ซึ่งเป็นประเด็นที่ทางสมาคมค้าทองเสนอตั้งเคลียริ่งเฮาส์/แซนบ๊อกซ์ ในการที่จะเคลียริ่งโพซิชั่นทองคำในรูปของดอลลาร์สหรัฐก่อนจะส่งไปเคลียริ่งที่นิวยอร์ค โดยทางธปท.รับไปพิจารณา
3.ความเป็นไปได้ที่จะผลักดันให้ประชาชนซื้อขายทองคำเป็นรูปเงินดอลลาร์สหรัฐนั้น เนื่องจากโครงสร้างพื้นฐานระดับประชาชนยังคงซื้อขายทองคำเป็นเงินบาทอยู่ แต่สนับสนุนให้กลุ่มผู้ซื้อผู้ขายรายใหญ่หรือผู้ส่งออกซื้อขายทองคำในรูปของเงินดอลลาร์
นพ.กฤชรัตน์ยังได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับทิศทางทองคำหลัง Government Shutdownในสหรัฐอเมริกาว่า ภาพหลักทองคำยังเป็น “ขาขึ้น” ต่อจากภาวะ Government Shutdown แม้จะไม่กระทบเศรษฐกิจสหรัฐ ยกเว้นจะเกิด Government Shutdown เกิน 1เดือน ซึ่งตลาดมอง Government Shutdown เป็นการบีบธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) ลดดอกเบี้ยและอาจหนุนการปรับตัวของราคาทองคำ
อย่างไรก็ตาม ช่วงนี้ราคาทองไทยเป็นลักษณะของการพักฐานที่ 59,400 บาทต่อบาททองคำ ซึ่งระยะของการพักฐานจะกินเวลาไม่นานคาดว่าประมาณ 1-2สัปดาห์ โดยหากเฟดปรับลดดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 28 ต.ค.นี้ตามที่ตลาดคาดไว้ ดังนั้นช่วงกลางเดือนต.ค.น่าจะเห็นราคาทองจะปรับตัวสูงขึ้น โดยคาดว่า สิ้นปี Gold Spot จะอยู่ที่ประมาณ 4,000 ดอลลาร์/ออนซ์หรือทองไทยราคาจะอยู่ที่ราว 60,000บาทต่อบาททองคำ
ส่วนมองไปข้างหน้า ไตรมาสแรกของปี 2569 นั้น ถ้าเฟดปรับลดดอกเบี้ย 2ครั้งในปีนี้ ภาพหลักของทองคำยังคงเป็น “ขาขึ้น” ในปีหน้า จากแรงลดการพึ่งพาดอลลาร์ (De-dollarization) แต่ราคาทอง “ขาขึ้น”จะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป เนื่องจากราคาทองได้ปรับสูงขึ้นมากแล้ว
ข้อสำคัญทองคำไม่มีฟองสบู่แตก แต่ในสภาวะตอนนี้ คนที่ต้องการจะเข้าลงทุนในทองคำ ควรแบ่งเป็น 2 กลุ่มคือ นักลงทุน และประชาชนทั่วไป การลงทุนต้องค่อยๆ ทยอยสะสมผ่านแอปพลิเคชั่นของแต่ละธนาคาร (DCA) อาจจะลงทุนวันละ 500บาทถือ เป็นSaving ที่ปลอดภัย
สำหรับนักลงทุนที่มีเงินเย็น (อย่าเป็นเงินกู้เพื่อลงทุน) ขอให้มีความรู้ความเข้าใจในการลงทุนและการจะเข้าลงทุนช่วงนี้ต้องมีกลยุทธ์ โดยจัดพอร์ตลงทุน 10ส่วน แล้วทยอยเข้าเป็นส่วนๆ
สอดคคล้องกับนายวรชัย ตั้งสิทธิ์ภักดี กรรมการผู้จัดการ บริษัท จีทีโกลด์ บูลเลี่ยน จำกัด ( GT Gold Bullion)กล่าวกับ “ฐานเศรษฐกิจ”ว่า ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นมาสูงมากแล้ว ทำให้ดูแนวโน้มยาก โดยเฉพาะช่วงนี้คนแห่ตื่นทอง ซึ่งมีทั้งคนอยากขายและคนอยากเข้าซื้อทองคำ
ส่วนกรณีเกิด Government Shutdown ในสหรัฐฯนั้น อาจจะไม่มีผลต่อราคาทองคำนัก หากเทียบเคียง Shutdownในอดีต แต่ใน 1-2ปีนี้ ปัจจัยหลักที่หนุนราคาทองคำยังคงเป็นเงินดอลลาร์ ซึ่งเป็น 1 ในหลายปัจจัยที่สนับสนุนราคาทองคำให้พุ่งแรง โดยเฉพาะช่วงแรกที่เฟดปรับลดดอกบี้ย บวกกระแส De-dollarization รวมถึงปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์
อย่างไรก็ตาม ช่วงนี้ต่อให้มีการปรับฐานของราคาทองคำหรือแม้แต่พักฐาน ราคาทองคำคงไม่ปรับลดลงมากนัก เพราะแนวโน้มความต้องการถือทองคำยังเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย
บวกกับกระแสคนหนีดอลลาร์หรือทิศทางดอกเบี้ยขาลง และข่าวที่ออกมาเรื่องราคาทองคำปรับขึ้นมากว่า 40%แล้ว ยิ่งกระตุ้นให้คนตื่นทอง ซึ่งในแง่ของการลงทุนต้องระมัดระวังและดูความพร้อมหรือความเหมาะสมของแต่ละบุคคลด้วย
ทั้งนี้หาก ย้อนประวัติ 10ปีที่ผ่านมา ราคาทองคำ/ผลตอบแทนจากทองคำจะปรับเพิ่มเฉลี่ย 8-9%ต่อปี แต่ 2ปีนี้ผลตอบแทนเกิน 30% โดยยังไม่ถึงดอกเบี้ยขาลงที่เฟดจะประชุมในปลายเดือนต.ค.นี้ และช่วงเดือนธ.ค.หากเฟดลดดอกเบี้ยทั้ง 2รอบนี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่นายโดนัล ทรัมป์อยากเห็นลดดอกเบี้ย เพื่อช่วยลดภาระดอกเบี้ยจ่ายของหนี้สหรัฐ จะหนุนราคาทองปรับขึ้น
“ถ้าดูจาก Gold Spot ที่ผ่านมา ราคาวิ่งไปเฉียด 3,900 ดอลลาร์/ออนซ์ ช่วงถัดไปน่าจะ 4,000 ดอลลาร์/ออนซ์ ราคาทองไทยน่าจะประมาณ 61,000 บาทในสิ้นปี2568 กรณีเฟดลดดอกเบี้ยต่ำ น่าจะเห็น Gold Spot 4,200ดอลลาร์ต่อออนซ์และราคาทองไทยประมาณ 63,500 บาทต่อบาททองคำในไตรมาสแรกปีหน้า”
นายสงวน จุงสกุล เป็นผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ผู้บริหารฝ่าย Investment Market Research หรือผู้บริหารฝ่ายธุรกิจสายงานตลาดเงินตลาดทุน ธนาคาร กรุงไทย กล่าวกับ “ฐานเศรษฐกิจ”ถึงค่าเงินบาทต่อดอลลาร์ว่า ช่วงสิ้นเดือนและสิ้นไตรมาส จะมีแรงซื้อ USD ตามฤดูกาล ประกอบกับตลาดเห็นท่าทีทางการในหลายๆ เรื่องที่ดูจะจำกัดการแข็งค่าของเงินบาท ตั้งแต่การพุ่งเป้าไปที่ธุรกิจทองคำ ซึ่งมีผลต่อการเคลื่อนไหวของเงินบาทอย่างมากเกินความเหมาะสมในช่วงปีที่ผ่านมา
รวมไปถึงความพยายามหกยิบยกประเด็นกระแสเงินทุนที่ยังระบุไม่ได้ชัด ไม่ว่าจะเป็น Net Error and Omission ซึ่งอาจจะใช่เงินสีเทาหรือไม่ใช่ก็ได้ รวมทั้งข่าวการพยายามติดตามขบวนการฟอกเงิน ซึ่งอาจมีผลให้เงินบาทแข็ง ไม่รวมความเป็นไปได้ที่ทางแบงก์ชาติอาจจะเข้าแทรกแซงค่าเงินมากขึ้น เพื่อทำให้เงินบาทอ่อนค่ามากขึ้น
อย่างไรก็ตาม จากท่าทีทั้งหมดของทางการ ทำให้เงินบาท underperform ชัดเจนในช่วงเดือนที่ผ่านมา อีกทั้งนักลงทุนต่างชาติก็ยังขายสุทธิในหุ้นไทย ทำให้เงินบาทที่แข็งค่าลงไปต่ำสุดที่ 31.60 ช่วงต้นเดือนกันยายน กลับขึ้นแตะระดับ 32.50 บาทต่อดอลลาร์ เมื่อเช้าวันที่ 1 ตุลาคม 2568
‘คาดว่ากรอบระยะสั้นสัปดาห์นี้ เงินบาทจะเคลื่อนไหวในกรอบ 32.35-32.65 บาทต่อดอลล่าร์ ส่วนแนวโน้มถึงสิ้นปีคาดว่ากรอบจะสูงกว่า 32.50 บาทต่อดอลล่าร์ขึ้นมา น่าจะเป็นเขตขาย เป็นด้านสูงของกรอบ’
อย่างไรก็ตาม นับจากต้นปี เงินบาทยังคงแข็งค่าต่อดอลล่าร์สหรัฐราว 5% ซึ่งสอดคล้องกับค่าเงินสกุลอื่นๆ ในภูมิภาค โดยค่าเงินดอลล่าร์ไต้หวัน แข็งค่ามากที่สุด 7.6% ตามมาด้วยมาเลเซียริงกิต 6.2% และเยนญี่ปุ่น 6% ขณะที่อินเดียรูปีอ่อนค่าต่อดอลล่าร์สหรัฐ -3.6% นับจากต้นปี