Fitch Ratings หั่นแนวโน้ม 5 แบงก์ไทย จาก 'มีสเถียรภาพ' เป็น 'ลบ'

29 ก.ย. 2568 | 13:27 น.
อัปเดตล่าสุด :29 ก.ย. 2568 | 15:00 น.

Fitch Ratings ปรับลดแนวโน้มอันดับเครดิต 5 ธนาคารใหญ่ KTB, TTB, EXIM, SCBT, UOBT จาก 'มีสเถียรภาพ' เป็น 'ลบ' ชี้ความสามารถรัฐบาลในการหนุนแบงก์ลดลง

KEY

POINTS

  • ฟิทช์ เรทติ้งส์ ปรับลดแนวโน้มอันดับเครดิตของ 5 ธนาคารไทย จาก "มีเสถียรภาพ" เป็น "ลบ" โดยยังคงอันดับเครดิตไว้ที่ระดับเดิม
  • การปรับลดครั้งนี้เป็นผลสืบเนื่องมาจากการที่ฟิทช์ได้ปรับลดแนวโน้มอันดับเครดิตของรัฐบาลไทยเป็น "ลบ" ก่อนหน้านี้
  • ธนาคาร 5 แห่งที่ถูกปรับแนวโน้ม ได้แก่ EXIM, KTB, TTB, SCBT และ UOBT
  • สาเหตุหลักมาจากการลดลงของความสามารถในการสนับสนุนจากรัฐบาล และข้อจำกัดจากเพดานอันดับเครดิตของประเทศที่เชื่อมโยงกับอันดับเครดิตรัฐบาล

Fitch Ratings ได้ประกาศปรับแนวโน้มอันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาว (Long-Term IDRs) สำหรับธนาคาร 5 แห่งในประเทศไทย จาก "แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ" เป็น "แนวโน้มอันดับเครดิตเป็นลบ" เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2568

โดยยังคงอันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาวไว้ที่ระดับเดิม การปรับเปลี่ยนครั้งนี้เป็นผลสืบเนื่องมาจากการที่ฟิทช์ได้ปรับลดแนวโน้มอันดับเครดิตของรัฐบาลไทยเป็น "แนวโน้มอันดับเครดิตเป็นลบ" (BBB+/Negative) ก่อนหน้านี้

ธนาคารที่ถูกปรับแนวโน้มอันดับเครดิตเป็น 'ลบ'

ธนาคารที่ได้รับการปรับแนวโน้มอันดับเครดิตเป็น "แนวโน้มอันดับเครดิตเป็นลบ" มี 5 แห่ง ได้แก่

  1. ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM)
  2. ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) (KTB)
  3. ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) (TTB)
  4. ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) จำกัด (มหาชน) (SCBT)
  5. ธนาคารยูโอบี (ไทย) จำกัด (มหาชน) (UOBT)

ธนาคารที่คงแนวโน้มอันดับเครดิต 'มีเสถียรภาพ'

ฟิทช์ยังคงอันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาวพร้อมแนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพสำหรับธนาคารและบริษัทการเงินอีก 5 แห่ง ได้แก่:

  1. ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BBL)
  2. ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) (BAY)
  3. ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) (KBank)
  4. ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) (SCB)
  5. บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) (SCBX)

ปัจจัยที่ส่งผลต่อการปรับแนวโน้มอันดับเครดิต

การปรับแนวโน้มอันดับเครดิตธนาคารเกิดจากสองปัจจัยหลักที่เชื่อมโยงกับอันดับเครดิตของรัฐบาลไทย

1. การเปลี่ยนแปลงความสามารถในการสนับสนุนของรัฐบาล

การปรับ "แนวโน้มอันดับเครดิตเป็นลบ" ของ EXIM, KTB, และ TTB สะท้อนถึงการลดลงของความสามารถของรัฐบาลในการให้การสนับสนุนพิเศษ (extraordinary support) ในกรณีที่เกิดวิกฤต ซึ่งเป็นปัจจัยหลักในการพิจารณาอันดับเครดิตของธนาคารเหล่านี้

อันดับเครดิตสนับสนุนจากรัฐบาล (Government Support Rating) ของธนาคารเหล่านี้ถูกคงไว้ แต่มีโอกาสถูกปรับลดหากอันดับเครดิตสากลของประเทศไทยถูกปรับลดลง

2. ข้อจำกัดจากเพดานอันดับเครดิตประเทศ (Country Ceiling)

การปรับ "แนวโน้มอันดับเครดิตเป็นลบ" สำหรับ SCBT และ UOBT สะท้อนว่าอันดับเครดิตของธนาคารทั้งสองอาจถูกจำกัดโดยเพดานอันดับเครดิตของประเทศไทย หากมีการปรับลดเพดานอันดับเครดิต ก็จะส่งผลให้มีการปรับลดอันดับเครดิตสนับสนุนจากผู้ถือหุ้น (Shareholder Support Rating) และนำไปสู่การปรับลดอันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาวของธนาคาร

ธนาคารที่ไม่ได้รับผลกระทบจากแนวโน้มรัฐบาล

BBL, KBank, SCB, และ SCBX อันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาวของธนาคารเหล่านี้พิจารณาจากอันดับความแข็งแกร่งทางการเงิน (Viability Rating) ของแต่ละธนาคารเป็นหลัก ซึ่งฟิทช์คงไว้ที่ระดับเดิม และเชื่อว่าไม่น่าจะได้รับผลกระทบจากการปรับแนวโน้มอันดับเครดิตของประเทศไทย

BAY อันดับเครดิตสนับสนุนจากผู้ถือหุ้นไม่ได้ถูกจำกัดด้วยเพดานอันดับเครดิตของประเทศ และอันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาวจะไม่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงเพียงหนึ่งอันดับของเพดานอันดับเครดิตของประเทศไทย

ปัจจัยในอนาคตที่อาจส่งผลต่ออันดับเครดิต

ปัจจัยเชิงลบที่อาจนำไปสู่การปรับลดอันดับเครดิตของธนาคารกลุ่มที่ถูกปรับแนวโน้มเป็น 'ลบ' คือการปรับลดอันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาวของประเทศไทย

ปัจจัยเชิงบวกที่อาจทำให้แนวโน้มอันดับเครดิตของ EXIM, KTB, TTB, SCBT, และ UOBT ถูกปรับกลับเป็น "แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ" คือการที่แนวโน้มอันดับเครดิตของประเทศไทยได้รับการปรับกลับมาเป็น "แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ"

 

ที่มา - fitchratings.com