จากกรณีธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ออกมาชี้แจงกรณีตัวเลขค่าความคลาดเคลื่อนสุทธิ หรือ Net Error & Omission (NEO)หรือ “เงินปริศนา” ในดุลการชำระเงิน (Balance of Payment: BOP) ที่ก่อนหน้านี้เดือนมีนาคม 2568 อยู่ที่กว่า 5 แสนล้านบาท แต่ล่าสุดรอบกันยายนปรับลดเหลือกว่า 2 แสนล้านบาท
นางสาวชนุตพร บุญสงสวัสดิ์ ผู้อำนวยการฝ่ายนโยบายการเงิน ธปท.ชี้แจงว่าไม่ได้เกิดจากการปรับตามเพราะปรากฏเป็นข่าว แต่เป็นผลจากกระบวนการอัปเดตข้อมูลจริงที่ทยอยเข้ามา เพราะดุลการชำระเงินเผยแพร่ปีละ 3 รอบ คือทันทีหลังสิ้นปี เดือนกันยายนถัดมา และกันยายนอีกปี เพื่อสะท้อนข้อมูลจริง เช่นราคานำเข้าน้ำมัน เทรดเครดิต และข้อมูลงบการเงินของภาคธุรกิจ ซึ่งมักยื่นงบจริงในช่วงเมษายน–พฤษภาคมของปีถัดไป
ค่าความคลาดเคลื่อนสุทธิ หรือ NEO เกิดได้จากหลายสาเหตุ ตัวอย่างเช่น ยุคปัจจุบันที่คนไทยนิยมซื้อสินค้าออนไลน์จากต่างประเทศ ผู้บริโภคสั่งซื้อ 10 ชิ้น และชำระเงินครบทั้งหมด แต่เวลานำเข้าผ่านด่านศุลกากร ข้อมูลที่บันทึกอาจเป็น ราคาประมาณการ (เช่น ราคากลาง) ไม่ตรงกับราคาที่ผู้ซื้อจ่ายจริง ส่วนต่างที่เกิดขึ้นนี้ จะไปปรากฏในค่า NEO
สำหรับการปรับรอบกันยายนครั้งล่าสุดเกิดจาก 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่
ธปท. ย้ำว่า ความคลาดเคลื่อนดังกล่าวเป็นเรื่องปกติในระบบสถิติระหว่างประเทศ และกำลังเดินหน้า 2 แนวทางเพื่อทำให้ข้อมูลรวดเร็วและแม่นยำมากขึ้น
แนวทางแรก ซึ่งถือเป็นทางที่ค่อนข้างสมบูรณ์ แบบที่สุด แต่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ และเอกชนในการส่งข้อมูลถี่และรวดเร็วขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการนำเข้า ส่งออกสินค้า ,ธุรกิจเกี่ยวกับการภาคท่องเที่ยว เนื่องจากการทำ balance of payment นั้นต้องใช้ข้อมูลต่อมาอีกทีหนึ่ง ทางธปท. ไม่ใช่ผู้จัดทำข้อมูลเอง
แนวทางที่สอง คือ การปรับปรุงวิธีประมาณการโดยใช้สถิติและเครื่องชี้ใหม่ ๆ ให้สอดรับกับพฤติกรรมผู้คนและธุรกิจเปลี่ยนแปลงอย่างมากหลังโควิด เช่น เงื่อนไข เครดิตทางการค้า (Trade Credit) ที่แต่เดิมเจ้าหนี้มักให้เครดิตในระยะเวลาใกล้เคียงกัน แต่ปัจจุบันกลับยืดออกไปนานขึ้นเพราะผลจากสงครามการค้า มาตรการภาษี และความผันผวนทางเศรษฐกิจ ทำให้ สูตรทางสถิติในอดีต ไม่สามารถสะท้อนปัจจุบันได้แม่นยำ
พร้อมย้ำว่า กำลังพัฒนา วิธีทางสถิติใหม่ ๆ ให้สอดรับกับพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป เพื่อให้ตัวเลขประมาณการรอบแรก ๆ ของดุลการชำระเงินใกล้เคียงกับข้อมูลจริงมากขึ้น และลดความผันผวนที่อาจกระทบต่อความเชื่อมั่นและการกำหนดนโยบายการเงิน–การคลังของประเทศ
สำหรับข้อกังวลเรื่อง “เงินสีเทา” คุณชนุตพรย้ำว่า ธปท. เห็นเพียงกระแสเงิน จากธุรกรรมแลกเปลี่ยนเงินตรา แต่ไม่สามารถชี้ได้ว่าข้างหลังเป็นธุรกิจสุจริตหรือไม่ การตรวจสอบต้องอาศัยหลายหน่วยงานร่วมกัน ทั้ง ปปง., ก.ล.ต., และหน่วยงานด้านกฎหมาย
ทั้งนี้ รัฐบาลได้ตั้งทีมเฉพาะกิจชื่อ “Connect the Dot” โดยมีนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีคลังเป็นผู้กำกับ ล่าสุดเมื่อวันที่ 24 กันยายน มีการประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องครั้งแรก เพื่อกำหนดวัตถุประสงค์และกรอบการทำงาน ร่วมกันสกัดเส้นทางเงินต้องสงสัย และสร้างความโปร่งใสในระบบการเงินไทย