MTS Gold แม่ทองสุกโต้ ไทยส่งออกทองไปกัมพูชา ไม่เกี่ยวทุนเทา

จากกรณีเกิดการตั้งข้อสังเกตถึงปริมาณการส่งออกทองคำของไทยในช่วง 7 เดือนแรกปี 2568 ที่มีปริมาณเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 31% โดยเฉพาะการส่งออกทองคำไปกัมพูชา ที่มีมูลค่าการส่งออกทองคำยังไม่ขึ้นรูปสูงถึง 105,982 ล้านบาท ในปี 2567 คิดเป็นการขยายตัวเพิ่มขึ้น 744% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และช่วง 7 เดือนแรกปี 2568 มีมูลค่าการส่งออกทองคำยังไม่ขึ้นรูปไปแล้ว 71,312 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19% จากช่วงเดียวกันของปี 25567

นพ.กฤชรัตน์ หิรัณยศิริ ประธานกรรมการกลุ่มบริษัท MTS Gold แม่ทองสุก เปิดเผยกับฐานเศรษฐกิจ ผ่านรายการฐานทอล์ค ทางช่องเนชั่นที่วี22 ถึงอุตสาหกรรมการค้าทองคำของไทยว่า เป็นอุตสาหกรรมที่เจริญเติบโตได้ค่อนข้างรวดเร็ว จนทำให้ประเทศไทยเป็น Hub of South East Asia ในเรื่องของทองคำ ซึ่งก็เจริญเติบโตเช่นนี้มามากกว่า 5 ปีแล้ว ดังนั้นการที่ประเทศไทยส่งออกทองคำไปที่กัมพูชานั้น ไม่ได้เพิ่งส่งออกปีนี้ แต่ส่งออกกันมาแล้วประมาณกว่า 5-6 ปี ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องของความผิดปกติใดๆ 

“สำหรับบริษัทกัมพูชาที่สามารถทำการซื้อขายทองกับประเทศไทยได้นั้น จะต้องเป็นบริษัทที่ได้ใบอนุญาตที่ถูกต้องผ่านทางธนาคาร ซึ่งมีเพียงประมาณ 3-4 บริษัทเท่านั้นที่ได้ใบอนุญาตนี้ ดังนั้นตรงนี้จึงไม่ใช่การขนเงินแบบเทาๆ โดยการซื้อขายทองกับกัมพูชาเป็นการรับส่งมอบเงินผ่านระบบ Export ,Import ผ่านระบบศุลกากรที่ถูกต้องและผ่านระบบธนาคาร จึงไม่ใช่เงินเทาๆ ตามที่มีข่าว” นพ.กฤชรัตน์ กล่าว

เศรษฐกิจในกัมพูชาไม่ดี เหตุใดจึงมีการสั่งซื้อทองคำจากไทยในปริมาณมาก

นพ.กฤชรัตน์อธิบายว่า ทุกประเทศที่รอบๆเรา เป็นประเทศที่ชอบบริโภคทองคำ ไม่ว่าจะเป็นไทย ลาว กัมพูชา และจะเห็นได้ว่ากัมพูชา ลาว เงินอ่อนค่าอย่างมากและรุนแรงเพราะว่าภาวะเงินเฟ้อ ดังนั้นการบริโภคทองคำจึงเป็นที่นิยมของคนรวย ฉะนั้นเราอย่าไปเทียบว่าทำไมเศรษฐกิจน้อยแต่ซื้อได้เยอะ และส่วนหนึ่งเป็นการซื้อเพื่อส่งออกต่อด้วย เป็นเรื่องความสามารถในการส่งผ่าน

โดยอาจจะส่งไปที่ทั้งจีนและเวียดนาม ในขณะที่ไทยไม่สามารถทำได้เลย ฉะนั้นตรงนี้ก็เหมือนกับที่เราพยายามเป็น Gold Hub of Asia ทางกัมพูชาเองก็พยายามที่จะทำการค้าในลักษณะส่งต่อแล้วก็ขายในรูปของทองคำแท่ง 

เหตุใดกัมพูชาต้องซื้อทองคำจากไทย แทนประเทศอื่น

นพ.กฤชรัตน์ ให้ความเห็นว่า กัมพูชาสามารถซื้อทองคำจากสิงคโปร์ หรือฮ่องกงก็ได้ แต่เนื่องจากประเทศไทยมีชายแดนติดกับกัมพูชา จึงสะดวกในเรื่องโลจิสติกส์ ดังนั้นก็ประหยัดกว่า สะดวกกว่าและรวดเร็วกว่า การซื้อขายกับไทยก็เลยได้เป็น Priority ส่วนการซื้อขายกับฮ่องกงและสิงคโปร์จะต้องใช้เวลาในการขนถ่ายประมาณ 1 วัน จึงนิยมซื้อกับไทย ซึ่งก็เป็นข้อดีของเรามากกว่าเป็นข้อเสีย

กรณีแนวคิดที่ต้องการให้แบงค์ชาติถอดบัญชีทองคำออกออกจากบัญชีการส่งออก นพ.กฤชรัตน์ ให้ความเห็นว่า อย่าให้การเมืองหรือความขัดแย้งลามมาทางการค้า เพราะทุกวันนี้การค้าระหว่างไทยกับกัมพูชาโดยองค์รวมยังเป็นปกติอยู่ ยกเว้นแต่การค้าชายแดน ดังนั้นถ้าจะทำให้ลามไปจนถึงระบบการค้า จะกระทบต่อประชาชนทั้ง 2 ประเทศในทิศทางที่เป็นลบมากกว่าบวก ดังนั้นตรงเนี้ยก็ต้องพิจารณากันให้ดี

สุดท้ายได้กล่าวถึงภาพรวมอุตสาหกรรมทองคำไทยว่า ประเทศไทยมี Infrastructure คือร้านค้าทองต่างๆ มากกว่า 7,000 - 8,000 แห่ง จึงทำให้โครงสร้างการซื้อขายทองคำ ทั้งทองคำแท่ง ทองรูปพรรณ และโครงสร้างการนำเข้าส่งออกทองคำของไทยมีความเจริญเติบโตอย่างมั่นคงมาเป็นเวลากว่า 10 ปี 

จากการตรวจสอบผ่านทางสมาคมค้าทองคำพบว่า การส่งออกปีนี้ที่มียอดสูงขึ้นมามาก แท้จริงๆ แล้วยังต่ำถ้าคิดเป็นจำนวนของเนื้อทองคำเทียบกับปีที่แล้ว ในขณะที่ปีนี้ส่งออกไป 10 กว่าตัน แต่เนื่องจากมูลค่าของปีนี้เพิ่มขึ้นมาประมาณเกือบจะ 100% จากปีที่แล้ว ดังนั้นเลยทำให้มูลค่าโดยองค์รวมเหมือนกับขายไปที่กัมพูชาสูง