แบงก์แจงปมลดดอกเบี้ยเงินฝากไม่เต็มร้อย ชี้ ‘ออมทรัพย์’ ต่ำ 0.25% ไปต่อไม่ได้

10 ก.ย. 2568 | 07:36 น.
อัปเดตล่าสุด :10 ก.ย. 2568 | 07:36 น.

ธนาคารชี้แจงเหตุผลส่งผ่านดอกเบี้ยนโยบายไม่เต็ม 100% เหตุเงินฝากออมทรัพย์ต่ำอยู่แล้ว ขณะที่ตลาดจับตา กนง. 2 รอบสุดท้ายของปี ลุ้นดอกเบี้ยนโยบายสิ้นปี 2568 จ่อระดับ 1.00-1.25%

ทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินของไทยในปีนี้ยังเป็นที่จับตาของตลาด หลังคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ครั้งล่าสุดปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% แต่ยังคงเหลือการประชุมอีก 2 ครั้ง (8 ต.ค. และ 17 ธ.ค. 68) โดยมีผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คนใหม่ (นายวิทัย รัตนากร) เข้าร่วมประชุมด้วย ส่งผลให้บางส่วนคาดว่า จะเห็นดอกเบี้ยนโยบายปิดปี 2568 ที่ระดับ 1.00-1.25% 

ทั้งนี้ดอกเบี้ยนโยบายของไทยทยอยปรับลดลงมาแล้ว 4 ครั้งรวมเป็น 1.00% (ตั้งแต่เดือนต.ค.ปี 67 เดือนก.พ.68 และเดือนเม.ย.68 และส.ค.68) ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยล่าสุดอยู่ที่ระดับ 1.50% ต่อปี 

ขณะที่อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของธนาคารพาณิชย์ล่าสุด (ณ 28ส.ค.68) ทั้งอัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี (MLR) อยู่ที่ 6.50% ต่อปี อัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายใหญ่ชั้นดีประเภทเงินเบิกบัญชี (MOR) อยู่ที่ 6.75% ต่อปี และอัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายย่อยชั้นดี (MRR) อยู่ที่ 6.65% ต่อปี  

อัตราดอกเบี้ยธนาคารพาณิชย์

ด้านฝั่งดอกเบี้ยเงินฝากพบว่า อัตราดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ต่ำสุด-สูงสุดของธนาคารพาณิชย์จดทะเบียนในประเทศอยู่ที่ 0.125-2.00% ส่วนดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 3 เดือนอยู่ที่ 0.625-1.350% เงินฝากประจำ 6 เดือนอยู่ที่ 0.80-1.45% เงินฝากประจำ 12 เดือนอยู่ที่ 1.05-1.60% และเงินฝากประจำ 24 เดือนอยู่ที่ 1.15-1.60% 

ดร.จิติพล พฤกษาเมธานันท์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟินันเซียไซรัส จำกัด(มหาชน)เปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ช่วงสุญญากาศทางการเมือง ธปท.มีโอกาสลดความเสี่ยงจากเหตุการณ์ไม่คาดฝัน จึงอาจจะใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลาย เพื่อประคองเศรษฐกิจ

ดร.จิติพล พฤกษาเมธานันท์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟินันเซียไซรัส จำกัด(มหาชน)

จึงมีโอกาสลดดอกเบี้ยนโยบายได้อีก 2 ครั้งหรือลดดอกเบี้ยนโยบายได้อีก 0.50% คือ สิ้นปี 2568 มีโอกาสเห็นดอกเบี้ยนโยบายปรับลดสู่ระดับ 1.00% และไม่มีผลกระทบอัตราเงินเฟ้อ  

แหล่งข่าวจากสถาบันการเงินกล่าวกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า การส่งผ่านดอกเบี้ยนโยบายสู่ระบบเศรษฐกิจนั้น แบ่งเป็น 2 ส่วนคือ ตลาดตราสารหนี้ (บอนด์/หุ้นกู้) กับตลาดธนาคาร โดยตลาดบอนด์/ตลาดหุ้นกู้นั้น ตลาดหุ้นกู้ของไทยมีสภาพคล่องปกติ มีการแข่งขันของผู้เล่นอย่างเป็นธรรมชาติ การส่งผ่านดอกเบี้ยนโยบายไปยังตลาดพันธบัตร และพันธบัตรจะถูกใช้เป็นมาตรฐานในการกำหนดดอกเบี้ยหุ้นกู้ 

“การส่งผ่านจากธปท.ไปยังตลาดหุ้นกู้เต็ม 100% ไม่มีปัญหา แต่ผู้ออกหุ้นกู้จำนวนมากก็ไปกู้เงินกับแบงก์ด้วย ดังนั้นจึงมีส่วนที่ไปเชื่อมโยงกับการส่งผ่านไปยังตลาดแบงก์ด้วย"

โดยตลาดแบงก์ที่พูดกันว่า การส่งผ่าน 40-50% นั้น ดูจากดอกเบี้ยนโยบายที่ปรับลดลงไปแล้ว 100bp แต่ดอกเบี้ยเงินกู้ ส่งผ่าน 40-50% และดอกเบี้ยเงินฝากปรับลด 40-50bp  แต่ในความเป็นจริง สินเชื่อจำนวนมากและเงินฝากจำนวนมาก ไม่ได้อ้างอิงโดยตรงกับดอกเบี้ยเงินกู้ MLR MOR และ MRR หรือเรียกว่าเป็น Market Rate ซึ่งจะมีความคล้ายตลาดหุ้นกู้ เป็นสินเชื่อที่ปล่อยให้ผู้กู้ขนาดใหญ่ ซึ่งการส่งผ่านสำหรับ Market Rate น่าจะระดับ 80% 

แหล่งข่าวขยายความเพิ่มเติมว่า ฝั่งธนาคารต้องดูด้วยว่า จะบริหารต้นทุนเงินฝากอย่างไร เช่น ดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ที่ปัจจุบันนี้อยู่ที่ 0.25% ซึ่งต่ำอยู่แล้ว จึงเป็นเหตุผลที่การส่งผ่านเต็ม 100% ไม่ได้ และเชื่อว่า ระบบธนาคารพาณิชย์ทั่วโลกก็คล้ายกันหมด ส่วนการดูว่า บางครั้งแบงก์ก็ลด MLR MRR 0.1% บางครั้งก็ลด 0.25% ก็ต้องพิจารณาทั้งวงจรว่า รวมๆแล้วออกมาเท่าไหร่ ไม่สามารถมองเป็นครั้งๆได้ 

“ดังนั้น เราอาจกล่าวได้ว่า การส่งผ่าน 50%เป็นการคำนวณจากอัตราดอกเบี้ยประกาศ เช่น MLR MRR แต่ไม่ได้มองเห็น credit pricing ทั้งหมดจริง ๆ โดยเฉพาะสินเชื่อที่เป็น market rate ซึ่งราคา market rate pricing ก็เป็นความลับของแต่ละแห่ง ไม่ได้เปิดเผยกันทั้งหมด จึงเชื่อว่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ การส่งผ่านน่า จะสูงระดับ 60%++ อยู่แล้ว ก็ไม่ได้ดูต่ำจนเกินไป” 

ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ และเลขานุการ ธนาคารกรุงเทพกล่าวกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า การส่งผ่านนโยบายการเงินจากข้อมูลเก่าของธปท. ปกติการปรับขึ้นหรือปรับลงของอัตราดอกเบี้ยสู่ระบบจะอยู่ที่ประมาณ 60% แต่รอบล่าสุด (13ส.ค.68) ธนาคารพาณิชย์พร้อมใจปรับลดอัตราดอกเบี้ยเท่ากับที่กนง.ปรับลดในอัตรา 0.25% แทบจะ 1 ต่อ 1 

ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ และเลขานุการ ธนาคารกรุงเทพ

อย่างไรก็ตาม ธนาคารพาณิชย์ส่วนใหญ่และธนาคารกรุงเทพได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยตระกูล M ทั้งหมด ซึ่งน่าจะส่งผลบวกเกือบทุกกลุ่มสินเชื่อ ส่วนที่เหลืออาจจะมีสินเชื่อเฉพาะตัวที่ไม่เชื่อมกับ MLR/MOR คงจะมีการทยอยปรับลดอีกครั้ง และช่วงสุญญากาศการเมือง

ส่วนตัวอยากให้ดอกเบี้ยนโยบายลดลงอีกครั้งละ 0.25% ซึ่งไม่ใช่การตุนกระสุน แต่โจทย์สำคัญต้องทำให้รถไม่หยุดวิ่ง ช่วงนี้ต้องประคองเศรษฐกิจไปให้ได้ 

“ช่วงการเมืองไทยไม่แน่นอน การรักษาโมเมนตัมมีความสำคัญมาก ซึ่งต้องประสานนโยบายการเงินกับนโยบายการคลัง ด้านการเงินอยากให้ลดดอกเบี้ยนโยบายอีกครั้ง และอยากเห็นค่าเงินไม่แข็งค่าจนเกินไปนัก เพราะผู้ส่งออกไทยยังไม่พ้นพงหนามและถ้าปล่อยให้ค่าเงินแข็งเกินจะทำให้เศรษฐกิจหมุนไปยาก ดังนั้นนโยบายการเงินต้องเอื้อให้ทุกคนเดินไปข้างหน้าได้”ดร.กอบศักดิ์กล่าว 

 

หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,129 วันที่ 7 - 10 กันยายน พ.ศ. 2568