KEY
POINTS
นายวทัญ จิตต์สมนึก ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์กลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากการที่ตลาดหุ้น Dow Jones เมื่อคืนปิดบวก 114 จุด เพิ่มขึ้น 0.25% จากปิดตลาดก่อนหน้า ซึ่งเป็นการตอบรับคาดการณ์ที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) จะปรับลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ
แม้ว่าเมื่อคืนที่ผ่านมาฝั่งสหรัฐฯ ไม่ได้มีตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญ แต่ตลาดยังคงให้น้ำหนักกับการผ่อนคลายนโยบายการเงินของ FED โดยพบเห็นการปรับลงของพันธบัตรสหรัฐฯ ในทุกๆ รุ่นอายุ พร้อมกับการอ่อนค่าของ Dollar Index สะท้อนมุมมองเชิงลบต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ
โดย CME FED Watch ล่าสุดให้น้ำหนักราว 89% ที่ FED จะปรับลดดอกเบี้ย 0.25% และ 10.6% ที่จะปรับลดดอกเบี้ย 0.50% และจะปรับลง 3 ครั้งภายในปีนี้แต่อย่างไรก็ตามให้จับตารอดูการประกาศเงินเฟ้อและดัชนีราคาผู้ผลิตในช่วง 2 วันจากนี้ หากทิศทางเงินเฟ้ออยู่ระดับสูงแต่แรงงานย่ำแย่อาจเป็นปัจจัยที่ FED จะดำเนินนโยบายอย่างลำบาก
ทั้งนี้ ด้วยดอลลาร์ที่อ่อนค่ากดดันให้เงินบาทแข็งค่าทดสอบระดับ 31.66 บาท/ดอลลาร์ แข็งค่าสุดในรอบ 4 ปี โดยพบเห็นกระแสเงินทุนต่างชาติซื้อสุทธิหนักในตลาดตราสารหนี้ ซึ่งนับตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน ซื้อ 1.2 พันล้านดอลลาร์ แต่กับตลาดทุนพบว่าขายสุทธิ 2.5 พันล้านดอลลาร์
สะท้อนมุมมองเชิงลบต่อเศรษฐกิจไทยในสายตานักลงทุนต่างชาติ หากมีความเชื่อมั่นอาจได้เห็นการเข้าสุทธิในตลาดหุ้น ขณะที่ดุลบัญชีเดินสะพัดพบว่า นับตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันเกินดุล 14 พันล้านดอลลาร์ นำมาโดยดุลการค้าเกินดุล 16 พันล้านดอลลาร์
และในครึ่งหลังอาจเห็นดุลการค้าเกินดุลไม่มากหรือดุลบัญชีเดินสะพัดอาจติดลบก็เป็นไปได้จากการส่งออกจะทยอยลดลง ด้วยค่าเงินบาทที่แข็งค่าค่อนข้างสูงจะทำให้ต้นทุนการนำเข้าลดลงช่วยคลายกังวลแรงกดดันเงินเฟ้อเมื่อประกอบกับเศรษฐกิจที่อาจมิได้แข็งแกร่งมากนัก อาจได้เห็นการลดดอกเบี้ยต่อเนื่องของธนาคารแห่งประเทศไทย (เป็นปัจจัยหนุนหุ้นในกลุ่มการเงิน อสังหาฯ)
ในขณะที่การส่งออกอาจเผชิญแรงกดดันจากเงินบาทที่แข็งค่า (วานนี้กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ปรับลง DELTA -4.5%) แต่เห็นแรงซื้อเด่นในกลุ่มค้าปลีก อาทิ BJC CRC CPALL และ CPAXT ตามความคาดหวังรัฐบาลจะกระตุ้นเศรษฐกิจ คืนนี้ไม่มีปัจจัยสำคัญต้องติดตาม
อย่างไรก็ตาม ทางฝ่ายประเมินกรอบดัชนี SET Index วันนี้ (9 ก.ย. 68) เคลื่อนไหวในกรอบ 1,255 - 1,275 กระแสเงินทุนต่างชาติอาจไหลเข้ามาบ้างในตลาดหุ้นไทยตามเงินบาทที่แข็งค่าและมีความหวังต่อนโยบายภาครัฐ ในเชิงกลยุทธ์การลงทุนยังเน้นเลือกเป็นรายกลุ่ม
เนื่องจากมองว่าดัชนีคือส่วนผสมผสานระหว่างหุ้นที่ได้ประโยชน์และเสียประโยชน์ จึงเน้นเลือกหุ้นที่ได้ประโยชน์ อาทิ ค้าปลีก (BJC CRC CPALL CPAXT), การเงิน (MTC), อสังหาฯ (AP SPALI) และ ธนาคารพาณิชย์ (BBL KBANK SCB) โดยจังหวะย่อตัวยังมองเป็นโอกาสสะสมจากเงินปันผลระดับสูง
คาดแนวโน้มยอดขายและกำไรปกติกลับมาโตจากเมื่อเทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน และจากไตรมาสก่อน ใน ไตรมาส 3/68 หนุนจากยอดขายชาเขียวที่โตกว่าเมื่อเทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน หลังตลาดชาพร้อมดื่มในประเทศซึ่งเป็นแหล่งรายได้หลักของ Ichitan
และยังพลิกกลับมาเติบโต 2.1% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน ในเดือนก.ค. 68 เทียบกับช่วง 7 เดือนแรกปี 68 ที่ยัง -2.95% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน ทางฝ่ายยังคงมองเป็นหุ้นปันผลที่น่าสนใจ แนะซื้อ ราคาเป้าหมาย 13.90 บาท
รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 2/68 ที่ 6.8 พันล้านบาท (+9% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน) หลังตัดรายการพิเศษมีกำไรปกติ 7 พันล้านบาท (+14% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน แต่ ลดลง -7% จากไตรมาสก่อน ใกล้เคียงกับที่ทางฝ่ายและตลาดคาดหนุนจากอัตรากำไรขั้นต้นที่เพิ่มขึ้น 30 bps เมื่อเทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน
แม้คาดว่าการเติบโตของยอดขายสาขาเดิมของ 7-11 จะชะลอตัวเล็กน้อย เมื่อเทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน ที่ 0.8% และอัตราส่วนค่าใช้จ่ายการขายและบริหารต่อยอดขายสูงขึ้น 20 bps เมื่อเทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน แนะซื้อ ราคาเป้าหมาย 78.00 บาท