นางสาวอารีรัตน์ มุราชัย หัวหน้านักวิเคราะห์ บริษัท จีแคป จำกัด หรือ GCAP GOLD เปิดเผยว่า ทิศทางราคาทองคำในสัปดาห์นี้ (2 - 6 ก.ค. 68) ยังเผชิญแรงกดดันจากความคืบหน้าด้านการค้าระหว่างประเทศและการทูตในตะวันออกกลาง ซึ่งเป็นตัวแปรหลัก
โดยหากสถานการณ์ยังคงออกมาในเชิงบวก ราคาทองอาจเผชิญแรงขายต่อเนื่อง ในทางกลับกันหากว่ามีเหตุการณ์ที่ทำให้ความเสี่ยงกลับมาเพิ่มขึ้น หรือข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ เริ่มส่งสัญญาณชะลอก็เป็นแรงอาจหนุนให้ราคาทองฟื้นตัวขึ้นได้
ปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อการลงทุนในตลาดทองคำ ล่าสุด สหรัฐฯ-จีน ลุ้นว่าจะสามารถบรรลุข้อตกลงการค้าฉบับถัดไปได้หรือไม่ก่อนเส้นตาย 9 กรกฎาคม หลังสหรัฐฯ และจีนลงนามข้อตกลงแรกไปแล้ว ซึ่งหากการเจรจาดำเนินไปอย่างราบรื่น อาจกดดันความต้องการทองคำต่อไป
ขณะที่แนวโน้มดอกเบี้ยมีโอกาสปรับตัวลดลงได้ในช่วงที่เหลือของปีนี้ แม้ Core PCE ล่าสุดจะสูงกว่าคาดการณ์ แต่เจ้าหน้าที่เฟดอย่าง "นีล คัชคารี" ยังส่งสัญญาณว่ามีโอกาสลดดอกเบี้ย 2 ครั้งในปี 68 ซึ่งตลาดอาจเริ่มเก็งกำไรเกี่ยวกับการผ่อนคลายนโยบายการเงินในระยะกลาง ซึ่งจะเป็นปัจจัยที่ช่วยพยุงราคาทองคำไว้
อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องติดตามตัวเลขภาคแรงงาน ที่จะประกาศตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตร (Nonfarm) ของสหรัฐฯ ในวันพฤหัสบดีนี้ โดยคาดว่าจะลดลงจาก 139K เหลือ 120K ส่วนอัตราการว่างงานคาดว่าจะขยับขึ้นจาก 4.2% เป็น 4.3% หากการจ้างงานอ่อนตัวลงจริง ก็จะเป็นแรงหนุนให้ราคาทองคำ
ดังนั้น จากประเด็นดังกล่าว ฝ่ายวิจัย GCAP GOLD ประเมินกลยุทธ์การลงทุนรอย่อซื้อ Gold Spot ที่ 3,220 / 3,200 ดอลลาร์/ออนซ์ โดยมองว่าราคาทองคำยังอยู่ในแนวโน้มปรับฐานระยะสั้น มีกรอบแนวรับสำคัญที่ 3,220 / 3,200 ดอลลาร์/ออนซ์ หรือเทียบเป็นราคาทองไทยประมาณ 50,000 - 49,700 บาท
ส่วนแนวต้านแรกอยู่ที่ 3,330 - 3,350 ดอลลาร์/ออนซ์ หรือเทียบราคาทองไทยประมาณ 51,00 - 51,300 บาท ซึ่งหากยืนเหนือได้ จะเป็นสัญญาณบวกระยะสั้น และอาจดันราคาไปทดสอบแนวต้านสำคัญ 3,368 - 3,375 หรือเทียบเป็นราคาทองไทยประมาณ 52,000 บาท หากยืนได้จะเป็นจุดเปลี่ยนเทรนด์ระยะสั้นให้กลับตัวเป็นขาขึ้นต่อไป