นายอนุสรณ์ ธรรมใจ อดีตกรรมการและกรรมการตรวจสอบธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในฐานะผู้สมัครเข้ารับการสรรหาตำแหน่งผู้ว่า ธปท. เปิดเผยว่า การอาสาสมัครเข้ารับการสรรหาการเป็นผู้ว่าธปท. เป็นครั้งที่สองนั้น เพื่อทำงานให้กับประเทศในช่วงเปลี่ยนผ่านสำคัญของระบบเศรษฐกิจการค้าเสรี ระบบการเงินโลก
อีกทั้งประเทศไทยยังเผชิญความท้าทายทางด้านเศรษฐกิจและแรงกดดันทางด้านการเงินการคลังเพิ่มขึ้น จึงมีความมุ่งมั่นต้องการปฏิรูปภาคการเงิน นโยบายการเงิน และปรับเปลี่ยน ธปท. ให้ยึดประชาชนเป็นศูนย์กลางมากยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ ผู้ว่า ธปท. คนใหม่ ควรสละเงินเดือนบางส่วนช่วยสังคมผ่านองค์กรต่างๆรวมทั้งจัดตั้งกองทุนช่วยเหลือลูกหนี้ที่มีหนี้สินล้นพ้นตัว จัดตั้งกองทุนเพื่อการปฏิรูปภาคการเงิน จัดตั้งกองทุนรัฐบุรุษอาวุโสปรีดี พนมยงค์เพื่อความเป็นธรรมและประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจ จากเงินเดือน 1.1 ล้านบาทต่อเดือน เบี้ยประชุม 4.72 ล้านบาทต่อปี
เมื่อพิจารณาถึงฐานะทางการเงินการคลังของประเทศ พิจารณาระดับการพัฒนาทางเศรษฐกิจของประเทศ เงินเดือนและค่าตอบแทนของผู้ว่าธนาคารกลางของไทยสูงกว่าผู้ว่าธนาคารกลางของประเทศร่ำรวยหลายประเทศทีเดียว สมควรนำค่าตอบแทนบางส่วนมาช่วยเหลือกิจการสาธารณประโยชน์
อย่างไรก็ดี ในความจริงแล้วประเทศไทยต้องการปฏิรูปประเทศครั้งใหญ่เพื่อแก้ปัญหาในมิติต่างๆ และเตรียมรับมือความท้าทายในอนาคต การปฏิรูปภาคการเงินเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการปฏิรูปเศรษฐกิจและปฏิรูปประเทศ
ภาคการเงินต้องรับใช้ประชาชน ต้องทำให้คุณภาพชีวิตประชาชนดีขึ้น ลดความเหลื่อมล้ำและสร้างความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจ ต้องทำให้ภาคธุรกิจอุตสาหกรรมดีขึ้น แข่งขันได้ ขยายตัวได้ โดยที่ระบบสถาบันการเงินมีความมั่นคงมีเสถียรภาพและมีผลกำไรที่เหมาะสม
นโยบายการเงินต้องสอดประสานกับนโยบายการคลัง การบริหารหนี้สาธารณะและนโยบายเศรษฐกิจอื่นๆเพื่อให้ประเทศบรรลุเป้าหมายทางเศรษฐกิจ สังคมและการเมือง สนับสนุนการแก้ปัญหาหนี้และส่งเสริมให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนของภาคเอกชนและภาคประชาขนนโยบายการเงินผ่านกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อแบบยืดหยุ่น(Flexible Inflation Targeting)
โดยกรอบเป้าหมายควรมีการปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับพลวัตเศรษฐกิจภายในและเศรษฐกิจโลกอย่างเท่าทันโดยไม่ยึดมั่นถือมั่นต่อเป้าหมายหรือหลักเกณฑ์มากเกินไปจนขาดความยืดหยุ่นในการตอบสนองต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว
ดำเนินนโยบายการเงินให้เกิดความสมดุลมากขึ้นระหว่างการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและการสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจแบบยั่งยืน ใช้นโยบายดอกเบี้ยควบคู่มาตรการเงินอื่นๆในการส่งเสริมให้เศรษฐกิจเติบโตเพิ่มขึ้น ลดภาระหนี้ให้ประชาชนและภาคเอกชนโดยมีเป้าหมายให้
สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีลงมาอยู่ที่ระดับ 70% ในปี พ.ศ. 2572 และทำให้โครงสร้างทางการเงินของภาคธุรกิจไทยเข้มแข็งขึ้น บริหารนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนให้มีเสถียรภาพและส่งเสริมภาคส่งออกภาคท่องเที่ยวและการเติบโตทางเศรษฐกิจ เพิ่มความโปร่งใสและประสิทธิภาพของการสื่อสารนโยบายการเงินเพื่อให้เกิดประสิทธิผลต่อเป้าหมายระยะสั้น ระยะปานกลางและระยะยาวของนโยบายการเงินโดยไม่ให้เกิดภาพความขัดแย้งกับหน่วยงานทางเศรษฐกิจอื่นๆ
และไม่ให้ลดทอนความเชื่อมั่นต่อการดำเนินนโยบายการเงินของธปท. เปลี่ยนแปลงการบริหารทุนสำรองระหว่างประเทศด้วยการกระจายความเสี่ยงของการถือครองหรือการลงทุนในสินทรัพย์อื่นๆเพิ่มมากขึ้นจากความผันผวนของดอลลาร์และพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯที่มีความเสี่ยงทางด้านมูลค่าเพิ่มมากขึ้น ส่งเสริมให้เงินบาทเป็นทางเลือกในการค้าระหว่างประเทศเพิ่มขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงจากความผันผวนของดอลลาร์สหรัฐและเพิ่มบทบาทเงินบาทในตลาดการเงินภูมิภาค
นายอนุสรณ์ กล่าวอีกว่า ธปท. ควรศึกษาความเป็นไปได้ของการปรับระบบอัตราแลกเปลี่ยนใหม่ให้สอดคล้องกับพลวัตทางเศรษฐกิจภายในและรับมือความท้าทายความผันผวนของตลาดการเงินโลกและการเปลี่ยนแปลงใหญ่ของระบบการเงินโลกในอนาคต การปรับระบบอัตราแลกเปลี่ยนและค่าเงินบาทให้เหมาะสมพร้อมเพิ่มปริมาณเงินจะมีส่วนช่วยให้ จีดีพี เติบโตเต็มศักยภาพ ซึ่งอาจทำให้อัตราการขยายทางเศรษฐกิจของไทยกลับมาโตได้ 4-5% โดยยังสามารถควบคุมให้อัตราเงินเฟ้อเป็นไปตามเป้าหมาย
มีความจำเป็นในการต้องปรับเปลี่ยนบทบาทแบงก์ชาติและระบบการเงินแบบรวมศูนย์มาเป็นการเงินดิจิทัลกระจายศูนย์มากขึ้น ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีทางการเงินได้สร้างความไว้วางใจต่อระบบการเงินแบบกระจายศูนย์มากขึ้น เป็นการท้าทายระบบ Fiat Money ที่มีธนาคารกลางเป็นศูนย์กลาง ขณะเดียวกัน บรรดา Digital Currency มีผลกระทบต่อเสถียรภาพของราคาและนโยบายการเงิน หาก Digital Currency มีผลกระทบต่องบดุลของธนาคารกลางในด้านภาระหนี้สิน มีส่วนเกี่ยวข้องกับการควบคุม ปริมาณเงิน ผ่าน Open Market Operation มีผลต่อความเร็วของเงิน (Velocity of Money) หรือมีผลต่อดัชนีราคา เมื่อ Digital Currency และ Cryptocurrency มีการใช้แพร่หลายมากขึ้นอย่างมีนัยยสำคัญ ย่อมส่งผลต่อประสิทธิภาพของการดำเนินนโยบายทางการเงิน ผู้กำหนดนโยบายการเงินต้องตัดสินใจอย่างรอบคอบรัดกุมว่า จะออกแบบกฎหมายเพื่อกำกับดูแล Digital Currency
และCryptocurrency อย่างไร เพื่อลดความเสี่ยงผลกระทบเชิงลบต่อเสถียรภาพของสถาบันการเงิน และ ประสิทธิภาพในการดำเนินนโยบายของธนาคารกลางในการควบคุมปริมาณเงินและสภาพคล่อง รวมทั้งระดับราคาและอัตราเงินเฟ้อในระบบเศรษฐกิจ
ระบบการเงินแบบกระจายศูนย์ด้วยเทคโนโลยี Blockchain จะทำให้บทบาทของธนาคารกลางและธนาคารพาณิชย์เปลี่ยนไปจากเดิม ธุรกิจตัวกลางทางการเงินแบบธนาคารพาณิชย์จะลดบทบาทลง บทบาทการเงินแบบเครือข่ายกระจายศูนย์ลักษณะ Peer to Peer จะเพิ่มขึ้น ธนาคารกลางสามารถใช้เทคโนโลยี Distributed Ledger Technology มาสนับสนุนให้ระบบการเงินดิจิทัลมีประสิทธิภาพและปลอดภัยมากขึ้น ขณะนี้การชำระเงินระหว่างธนาคารด้วยกันหรือกับแบงก์ชาติก็ใช้เทคโนโลยี DLT และ สัญญาอัจฉริยะ (Smart Contract) แต่การทำธุรกรรมยังจำกัดเฉพาะในกลุ่มธนาคาร ขอเสนอให้ แบงก์ชาติศึกษาความเป็นไปได้ของการออก เงินดิจิทัล หรือ Central Bank Digital Currency (CBDC) ให้กับประชาชนโดยทั่วไป โดยให้ CBDC สามารถใช้จ่ายได้สะดวกเหมือนเงินสด เพียงแต่การถือ CBDC ดีกว่าการถือเงินสดโดยที่ผู้ถือสามารถรับดอกเบี้ยได้ด้วย การออก CBDC สำหรับประชาชนรายย่อยจะเพิ่มอำนาจให้ธนาคารกลางในการกำกับปริมาณเงินได้มากขึ้น
ระบบการเงินที่อาศัย Fiat Money และ อาศัย Fractional Reserve Banking ที่ต้องมีการประกันเงินฝาก แบงก์ชาติต้องค้ำประกันไม่ให้ระบบธนาคารล้ม เป็น Lender of the Last Resort จะมีการปรับเปลี่ยนไปตามพลวัตของเทคโนโลยีทางการเงิน และ การออกแบบระบบการเงินใหม่ ทำให้ ต้นทุนของการค้ำประกันระบบลดลง องค์กรที่ให้บริการทางการเงินอาจไม่ใช่มีเฉพาะสถาบันการเงินแบบดั้งเดิมอีกต่อไป การที่ “แบงก์ชาติ” มีบทบาทเข้ามากำกับธุรกิจเช่าซื้อและลิซซิ่งที่เป็นกลุ่ม Non-Bank จึงเป็นเรื่องที่จำเป็นเพื่อสามารถดูแลเสถียรภาพของระบบการเงินได้ครอบคลุมและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
จึงเสนอให้มีการปรับโครงสร้างองค์กรแบงก์ชาติ แยกภารกิจกำกับดูแลสถาบันการเงิน และ ภารกิจดำเนินนโยบายการเงินให้ชัดเจนขึ้น และเปลี่ยนจากการกำกับองค์กรสถาบันการเงินมากำกับกิจกรรมบริการทางการเงินมากขึ้น เพราะจะมีองค์กรจำนวนมากที่ไม่ใช่สถาบันการเงินแต่ให้บริการทางการเงินลักษณะใดลักษณะหนึ่ง รวมทั้งฟินเทคทั้งหลายด้วย
ขณะเดียวกัน ธปท.ควรศึกษาเพื่อจัดระบบทุนสำรองระหว่างประเทศใหม่ในการรับมือต่อความผันผวนรุนแรงของเศรษฐกิจและตลาดการเงินโลก การเสื่อมค่าลงของดอลลาร์และการด้อยค่าลงของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ รวมทั้ง การเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ของระบบการเงินโลก