ค่าเงินบาทปิดตลาดวันที่ 13มิ.ย.ที่ระดับ  32.47 บาทต่อดอลลาร์

13 มิ.ย. 2568 | 11:37 น.
อัปเดตล่าสุด :13 มิ.ย. 2568 | 11:52 น.

ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงเล็กน้อยช่วงปลายสัปดาห์ตามภาพรวมของสกุลเงินในภูมิภาค สัปดาห์หน้า 16-20มิ.ย.กรอบการเคลื่อนไหวประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 32.00-32.80 บาทต่อดอลลาร์ฯ แนะติดตามผลการประชุม FOMC และ Dot Plot ใหม่ของเฟด 17-18 มิ.ย.

ค่าเงินบาทปิดตลาดวันที่ 13 มิ.ย.ที่ระดับ  32.47 บาทต่อดอลลาร์ฯ เทียบกับระดับปิดตลาดออฟชอร์วานนี้ที่ 32.38 บาทต่อดอลลาร์ฯ

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า ค่าเงินบาทเงินบาทอ่อนค่าลงเล็กน้อยช่วงปลายสัปดาห์ตามภาพรวมของสกุลเงินในภูมิภาค ขณะที่ เงินดอลลาร์ฯ มีแรงหนุนกลับมาบางส่วนท่ามกลางสถานการณ์ที่ตึงเครียดของการสู้รบระหว่างอิสราเอลกับอิหร่าน

อย่างไรก็ดี กรอบการอ่อนค่าของเงินบาทยังเป็นไปอย่างจำกัด เพราะยังคงมีแรงหนุนกลับมาบางส่วนจากการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำในตลาดโลก สำหรับทิศทางฟันด์โฟลว์ในวันนี้ นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นไทย 330 ล้านบาท แต่ขายสุทธิพันธบัตรไทยต่อเนื่องที่ 275 ล้านบาท 

ส่วนค่าเฉลี่ย Indicative forward points ของธุรกรรมระยะ 3 เดือนสำหรับผู้ประกอบการที่มีรายได้ 50-200 ล้านบาทต่อปี รายงานข้อมูล ณ 10.00 น. วันที่ 13 มิถุนายน 2568 จากเว็บไซต์ ธปท. อยู่ที่ -24.37 สำหรับผู้ส่งออก (ขายเงินดอลลาร์ฯ ล่วงหน้า) และที่ -21.49 สำหรับผู้นำเข้า (ซื้อเงินดอลลาร์ฯ ล่วงหน้า)

สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในสัปดาห์หน้า (16-20 มิ.ย.) ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 32.00-32.80 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ผลการประชุม FOMC และ Dot Plot ใหม่ของเฟด (17-18 มิ.ย.) ฟันด์โฟลว์ของต่างชาติ ทิศทางราคาทองคำในตลาดโลก และสัญญาณการเจรจาการค้าของสหรัฐฯ และคู่ค้า และสถานการณ์ระหว่างอิสราเอลและอิหร่าน

ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ผลสำรวจภาคการผลิตของเฟดสาขานิวยอร์กและเฟดสาขาฟิลาเดลเฟียเดือนมิ.ย. ข้อมูลยอดค้าปลีก การผลิตภาคอุตสาหกรรม และการเริ่มสร้างบ้านเดือนพ.ค. และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์

ส่วนตัวเลขเศรษฐกิจต่างประเทศอื่น ๆ ได้แก่ ข้อมูลเศรษฐกิจจีนเดือนพ.ค. (อาทิ ยอดค้าปลีก การผลิตภาคอุตสาหกรรม การลงทุนในสินทรัพย์ถาวร และอัตราว่างงาน) และอัตราเงินเฟ้อเดือนพ.ค. ของอังกฤษ ยูโรโซน และญี่ปุ่น

นอกจากนี้ตลาดยังรอติดตามผลการประชุมธนาคารกลาญี่ปุ่น (16-17 มิ.ย.) ธนาคารกลางอินโดนีเซีย (18 มิ.ย.) ธนาคารกลางอังกฤษ (19 มิ.ย.) และการกำหนดอัตราดอกเบี้ย LPR ของจีน (20 มิ.ย.) ด้วยเช่นกัน