ดร.พรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยวิสัยทัศน์การพัฒนาระบบการเงินภาคประชาชนในอนาคต โดยเน้นการสร้าง "การเงินทั่วถึง" ที่ช่วยให้ประชาชนพึ่งพาตนเองทางการเงินได้มากขึ้น ซึ่งจะส่งผลต่อการลดภาระงบประมาณของภาครัฐในการให้ความช่วยเหลือระยะยาว
ดร.พรชัย กล่าวว่า การดำเนินนโยบายการเงินภาคประชาชนที่ผ่านมา ทั้งระบบสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์และสถาบันการเงินประชาชน ได้แสดงให้เห็นผลสำเร็จในทิศทางที่ถูกต้อง โดยช่วยเพิ่มโอกาสให้ประชาชนฐานรากเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบ เพื่อนำไปใช้ในการดำรงชีพและประกอบอาชีพ
"นโยบายเหล่านี้ไม่ใช่แค่การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่เป็นการสร้างศักยภาพในการหารายได้ให้กับประชาชน และลดการพึ่งพาหนี้นอกระบบที่มีภาระสูง" ดร.พรชัย อธิบาย
การส่งเสริมให้ประชาชนพึ่งพาตนเองทางการเงินได้มากขึ้นนี้ ไม่เพียงช่วยเสริมสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจในระดับครัวเรือนและชุมชน แต่ยังมีผลกระทบเชิงบวกต่อการบริหารงบประมาณของภาครัฐในระยะยาว
จากการดำเนินงานที่ผ่านมา ระบบสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ได้แสดงให้เห็นถึงความสำเร็จอย่างชัดเจน โดย ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2568 มีการอนุมัติสินเชื่อให้กับประชาชนรายย่อยสะสมทั้งสิ้น 5,020,906 บัญชี เป็นจำนวนเงินรวม 49,067.28 ล้านบาท
ขณะเดียวกัน ผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับอนุญาตและเปิดดำเนินการแล้วมี 1,155 ราย กระจายอยู่ใน 75 จังหวัดทั่วประเทศ แสดงให้เห็นถึงการขยายตัวของผู้ให้บริการที่เข้าถึงประชาชนในระดับท้องถิ่นได้อย่างแพร่หลาย
สำหรับสถาบันการเงินประชาชน ณ สิ้นเดือนเมษายน 2568 มีสถาบันที่ได้รับจดทะเบียนแล้ว 25 แห่ง ครอบคลุม 16 จังหวัด มีสมาชิกรวม 12,441 คน ยอดเงินฝากรวม 373.3 ล้านบาท และยอดเงินกู้รวม 322.1 ล้านบาท
แม้ตัวเลขเหล่านี้ยังไม่สูงมากนักเมื่อเทียบกับองค์กรการเงินชุมชนทั้งหมด แต่แสดงให้เห็นถึงการเริ่มต้นที่ดีในการสร้างสถาบันการเงินของชุมชนที่น่าเชื่อถือและอยู่ภายใต้การกำกับดูแล
ดร.พรชัย เน้นว่า การพัฒนาการเงินภาคประชาชนในอนาคตจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างหน่วยงานกำกับดูแลที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะธนาคารแห่งประเทศไทยและกรมส่งเสริมสหกรณ์
"สศค. เห็นควรต้องทำงานร่วมกับหน่วยงานกำกับดูแลที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด เพื่อร่วมกันปรับปรุงภูมิทัศน์ทางการเงิน (Financial Landscape) ในภาพรวมให้สามารถรองรับความต้องการที่หลากหลายของประชาชนแต่ละกลุ่มได้อย่างทั่วถึงและเป็นธรรมมากยิ่งขึ้น" เขากล่าว
แนวทางสำคัญประการหนึ่งคือการพิจารณาให้มีองค์กรที่เหมาะสมเข้ามาทำหน้าที่กำกับดูแลเป็นการเฉพาะสำหรับสินเชื่อแต่ละประเภท เช่น สินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ สินเชื่อรายย่อยเพื่อการประกอบอาชีพภายใต้การกำกับ (สินเชื่อนาโนไฟแนนซ์: Nano Finance) หรือสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับ (Personal Loan: P-loan) เพื่อให้เกิดความเชี่ยวชาญและประสิทธิภาพสูงสุดในการกำกับดูแล
การนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ถือเป็นกุญแจสำคัญในการพัฒนาระบบการเงินภาคประชาชนให้ก้าวทันยุคดิจิทัล โดย สศค. กำลังพัฒนาโครงการสำคัญหลายโครงการ
โครงการเด่นคือ "อารีย์สกอร์ (Ari Score)" ซึ่งเป็นคะแนนเครดิตที่คำนวณจากข้อมูลหลากหลายหน่วยงาน เพื่อประเมินความเสี่ยงของกลุ่มผู้มีรายได้น้อยและผู้ประกอบการ SMEs ที่ยังไม่ได้รับบริการที่ดีเพียงพอ
"เรากำลังเตรียมการ 'โครงการ Soft Loan Ari Score Sandbox' เพื่อทดลองนำ Ari Score มาใช้ประกอบการพิจารณาสินเชื่อ ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสให้กลุ่มเป้าหมายเข้าถึงสินเชื่อในระบบได้อย่างเป็นธรรมและทั่วถึงมากขึ้น" ดร.พรชัย เผย
นอกจากนี้ สศค. ยังพัฒนาระบบบริการอิเล็กทรอนิกส์ (E-Service) สำหรับผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ เพื่ออำนวยความสะดวกในการขออนุญาตและติดต่อกับหน่วยงานภาครัฐได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น และระบบเทคโนโลยีสารสนเทศสำหรับสถาบันการเงินประชาชนที่เชื่อมโยงข้อมูลระหว่างสถาบันการเงินประชาชน ธนาคารผู้ประสานงาน และ สศค. ในฐานะนายทะเบียน
ดร.พรชัย เน้นย้ำว่า เป้าหมายสูงสุดของการพัฒนาการเงินภาคประชาชนคือการสร้างกลไกที่ช่วยให้ประชาชนฐานรากมีความมั่นคงทางการเงินและสามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน
"เมื่อประชาชนมีโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบได้ง่ายขึ้น มีความรู้ทางการเงินที่ดี และสามารถบริหารจัดการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก็จะลดความจำเป็นที่ภาครัฐต้องเข้าไปช่วยเหลือในรูปแบบต่างๆ" เขากล่าว
การพัฒนาระบบการเงินที่ทั่วถึงและเป็นธรรมนี้ จึงไม่เพียงช่วยแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่ยังเป็นการลงทุนในอนาคตที่จะส่งผลให้เศรษฐกิจฐานรากมีความเข้มแข็ง และภาครัฐสามารถบริหารงบประมาณได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
แม้จะมีผลสำเร็จที่น่าภาคภูมิใจ แต่ดร.พรชัย ยอมรับว่ายังมีความท้าทายในการขยายผลและพัฒนาระบบให้ครอบคลุมประชาชนในวงกว้างมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในด้านการสร้างความรู้ความเข้าใจและการปรับปรุงกฎหมายให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี
"การที่เราสามารถสร้างระบบการเงินภาคประชาชนที่เข้มแข็ง เข้าถึงได้ง่าย โปร่งใส และยั่งยืน จะเป็นกลไกสำคัญในการสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจให้กับประเทศในระยะยาว และลดภาระการช่วยเหลือของภาครัฐได้อย่างมีนัยสำคัญ" ดร.พรชัย สรุป
การเดินหน้าพัฒนาการเงินภาคประชาชนของ สศค. จึงไม่เพียงเป็นการแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ แต่ยังเป็นการวางรากฐานเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งและการบริหารการเงินการคลังของประเทศที่มีประสิทธิภาพในอนาคต