สบน. เปิดแผนบริหารหนี้ กระจายเครื่องมือ-ขยายฐานนักลงทุน

23 พ.ค. 2568 | 07:00 น.
อัปเดตล่าสุด :23 พ.ค. 2568 | 07:31 น.

สบน.เปิดแผนยุทธศาสตร์ใหม่ กระจายเครื่องมือการเงิน-ขยายฐานนักลงทุน จากพันธบัตรออมทรัพย์ถึง Sustainability Bond เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน

ในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจโลกเผชิญความผันผวนและความไม่แน่นอน สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) ภายใต้การนำของนายพชร อนันตศิลป์ ผู้อำนวยการ ได้วางแผนยุทธศาสตร์เพื่อยกระดับการบริหารหนี้สาธารณะของไทยสู่มาตรฐานสากล

 

สถานการณ์ปัจจุบัน: มั่นคงแต่ต้องพัฒนา

ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2568 หนี้สาธารณะของไทยมีมูลค่า 12.08 ล้านล้านบาท หรือ 64.42% ของ GDP ซึ่งยังคงอยู่ในกรอบปลอดภัยที่กำหนดไว้ไม่เกิน 70% อันดับความน่าเชื่อถือของประเทศ BBB+ พร้อมมุมมองที่มั่นคง (Stable Outlook) สะท้อนความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ

แต่ความสำเร็จในอดีตไม่ได้หมายความว่าจะหยุดพัฒนา สบน. เล็งเห็นถึงความจำเป็นในการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์เพื่อรองรับความท้าทายในอนาคต

แผนยุทธศาสตร์ 4 มิติ

1. กระจายเครื่องมือการระดมทุนอย่างหลากหลาย

หากในอดีตการระดมทุนของรัฐบาลพึ่งพาพันธบัตรรัฐบาลเป็นหลัก วันนี้ สบน. เตรียมเปิดตัวเครื่องมือใหม่ที่ตอบโจทย์นักลงทุนยุคใหม่

Sustainability Bond กลายเป็นดาวเด่นสำหรับนักลงทุนที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมและสังคม (ESG) ตัวเลขการเติบโตของกลุ่มนักลงทุนนี้ทั่วโลกพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ไทยต้องปรับตัวให้ทันกระแส

พันธบัตรออมทรัพย์ (Savings Bond) เปิดโอกาสให้ประชาชนทั่วไปเข้าถึงการลงทุนที่ปลอดภัย พร้อมสร้างสังคมแห่งการออมเพื่อรองรับสังคมผู้สูงอายุที่กำลังจะมาถึง

Amortized Bond และ T-bill Program ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อตอบสนองนักลงทุนที่ต้องการสภาพคล่องสูงและความยืดหยุ่นในการจัดการเงินลงทุน

2. ขยายฐานนักลงทุนสู่ความหลากหลาย

"เราไม่อยากพึ่งพาแหล่งเงินทุนเพียงแหล่งเดียว" นายพชรกล่าว แผนการขยายฐานนักลงทุนครอบคลุมตั้งแต่นักลงทุนรายย่อยไปจนถึงสถาบันการเงินขนาดใหญ่ ทั้งในและต่างประเทศ

การเปิดประตูรับนักลงทุนต่างชาติไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่การทำอย่างมีระบบและยุทธศาสตร์คือสิ่งที่ สบน. มุ่งเน้น การเรียนรู้เทคโนโลยีและแนวปฏิบัติที่ดีจากต่างประเทศจะถูกนำมาปรับใช้ให้เข้ากับบริบทไทย

3. ยืดอายุเครื่องมือการระดมทุน (Lengthening Duration)

แนวคิดใหม่นี้เกิดจากการวิเคราะห์ว่าตราสารหนี้ระยะยาวช่วยลดความเสี่ยงในการปรับโครงสร้างหนี้ในอนาคต ขณะเดียวกันยังช่วยให้การวางแผนงบประมาณมีเสถียรภาพมากขึ้น

สบน. วางเป้าลดการใช้ตราสารหนี้ที่มีอัตราดอกเบี้ยลอยตัวให้เหลือเท่าที่จำเป็น เพื่อลดความผันผวนจากการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยในตลาดโลก

4. เตรียมแหล่งทุนสำรองจากต่างประเทศ

ในสถานการณ์ Post-COVID ที่ความต้องการเงินทุนของรัฐบาลอาจเพิ่มสูงขึ้น การมีแหล่งทุนสำรองจากต่างประเทศจึงเป็นเสมือนกรมธรรม์ประกันภัยทางการเงิน

"เราไม่ต้องการให้เกิดการแย่งชิงสภาพคล่องหรือทรัพยากรทางการเงิน (Crowding Out) กับภาคเอกชน" นายพชรอธิบาย การมีทางเลือกจากต่างประเทศจะช่วยให้ตลาดเงินในประเทศไม่ถูกกดดัน

 

สบน. เปิดแผนบริหารหนี้ กระจายเครื่องมือ-ขยายฐานนักลงทุน

 

การบริหารความเสี่ยงแบบเชิงรุก

แผนยุทธศาสตรการบริหารหนี้สาธารณะระยะปานกลาง (Medium-Term Debt Management Strategy) ครอบคลุมการบริหารความเสี่ยงทั้ง 3 มิติ

ความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน ถูกควบคุมผ่านการกู้เงินในประเทศเป็นหลัก (99.11%) ทำให้ความเสี่ยงจากการผันผวนของค่าเงินบาทต่อเงินตราต่างประเทศอยู่ในระดับต่ำ

ความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ย ได้รับการจัดการผ่านการใช้ตราสารหนี้ที่มีอัตราดอกเบี้ยคงที่เป็นหลัก (86%) และมีแผนลดสัดส่วนตราสารดอกเบี้ยลอยตัวลงต่อไป

ความเสี่ยงด้านการปรับโครงสร้างหนี้ ถูกบริหารผ่านการทยอยปรับโครงสร้างหนี้ด้วยเครื่องมือต่างๆ เช่น การชำระคืนหนี้ล่วงหน้า (Prepayment) การแลกเปลี่ยนพันธบัตร (Bond Switching) และการปรับโครงสร้างหนี้แบบทันที (Back to Back)

 

ผลกระทบต่อประชาชน

แผนการปฏิรูปนี้ไม่ใช่เรื่องของตัวเลขทางการเงินเท่านั้น แต่สะท้อนถึงการสร้างโอกาสให้กับประชาชนในหลายมิติ

ประชาชนจะได้รับประโยชน์จากพันธบัตรออมทรัพย์ที่เป็นทางเลือกการลงทุนที่ปลอดภัย ขณะที่โครงสร้างพื้นฐานที่สร้างจากเงินที่ระดมทุนได้ เช่น รถไฟฟ้า รถไฟทางคู่ ระบบไฟฟ้า และระบบประปา จะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ

 

มองไปข้างหน้า

การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญนี้ไม่ได้เกิดขึ้นในชั่วข้ามคืน แต่เป็นผลจากการวางแผนอย่างรอบคอบและการติดตามสถานการณ์ตลาดการเงินอย่างใกล้ชิด

สบน. มั่นใจว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะอย่างมีวินัยและรับผิดชอบ ประกอบกับการปรับตัวให้ทันต่อความเปลี่ยนแปลงของโลก ประเทศไทยจะสามารถรักษาเสถียรภาพทางการเงินและสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนได้ในระยะยาว

แผนยุทธศาสตร์นี้ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนแปลงเครื่องมือทางการเงิน แต่เป็นการวางรากฐานเศรษฐกิจไทยสำหรับอนาคตที่เต็มไปด้วยความท้าทายและโอกาสใหม่ๆ