กรมธนารักษ์เปิดกลยุทธ์ "VALUE" ดันรายได้ 20% สร้างความมั่งคั่งให้คนไทยทุกคน

23 พ.ค. 2568 | 05:00 น.

กรมธนารักษ์ประกาศเปลี่ยนบทบาทสู่ "กรมเพิ่มมูลค่าและคุณค่าทรัพย์สินของแผ่นดิน" พร้อมเปิดยุทธศาสตร์การบริหารที่ราชพัสดุอย่างมีวิสัยทัศน์ ด้วยเป้าหมายเพิ่มผลตอบแทนจากสินทรัพย์ 20% ภายในปี 2569 เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน

กรมธนารักษ์ปฏิวัติการบริหารทรัพย์สินแผ่นดิน

ดร. เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมธนารักษ์ ประกาศยุทธศาสตร์และบทบาทใหม่ของกรมธนารักษ์ในการบริหารจัดการทรัพย์สินของแผ่นดินอย่างเป็นระบบ โดยมุ่งเน้นการสร้างประโยชน์สูงสุดในทุกมิติ ทั้งเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรม

 

ดร. เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมธนารักษ์

 

"แม้ที่ผ่านมากรมธนารักษ์ได้มีการพัฒนาและยกระดับการทำงานมาอย่างต่อเนื่อง แต่ด้วยบริบทโลกที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ทั้งปัญหาเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม เราจำเป็นต้องปรับตัวให้ทันกับความเปลี่ยนแปลง" ดร. เอกนิติกล่าว

การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จะดำเนินการผ่านกลยุทธ์ "VALUE" ซึ่งเป็นการบูรณาการการทำงานในทุกด้าน เพื่อให้เกิดการนำทรัพย์สินของแผ่นดิน ทั้งที่ราชพัสดุและเหรียญกษาปณ์ มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด พร้อมยกระดับการทำงานด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อให้การจัดการมีประสิทธิภาพ สะดวก รวดเร็ว แม่นยำ และโปร่งใส

รูปแบบการทำงานใหม่ด้วยกลยุทธ์ VALUE

กลยุทธ์ VALUE ประกอบด้วย 5 เสาหลักที่จะขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ:

V: Value - การเพิ่มมูลค่าและคุณค่าที่ราชพัสดุ

กรมธนารักษ์จะจัดทำแผนแม่บทหรือ Master Plan เพื่อพัฒนาพื้นที่แบบองค์รวม ให้การใช้ประโยชน์ที่ราชพัสดุเหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรมในแต่ละพื้นที่

จุดเริ่มต้นสำคัญคือ "นครนายกโมเดล" ซึ่งเป็นพื้นที่ทดลอง Sandbox ในจังหวัดนครนายกที่จะเป็นต้นแบบการพัฒนาที่ราชพัสดุแบบบูรณาการ โดยใช้แนวคิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนและการมีส่วนร่วมของชุมชน

เป้าหมายสำคัญคือการเพิ่มรายได้และอัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์ (Return on Asset) หรือ ROA ซึ่งหมายถึงความสามารถในการสร้างกำไรจากทรัพย์สินที่มีอยู่ ในส่วนของที่ราชพัสดุเชิงพาณิชย์ให้สูงขึ้น 20% ภายในปี 2569

A: Appraise - การเพิ่มความแม่นยำในการประเมินราคาที่ดิน

การพัฒนาฐานข้อมูลการประเมินราคาให้สอดคล้องกับราคาตลาดและเป็นธรรม โดยนำเทคโนโลยีที่เหมาะสมมาใช้ในการประเมินราคาที่ดิน จะช่วยให้การกำหนดราคาถูกต้องและเป็นธรรมมากขึ้น

กรมฯ ตั้งเป้าลดความต่างระหว่างราคาประเมินและราคาตลาดให้เหลือไม่เกิน 15% ภายในปี 2569 พร้อมทั้งพัฒนาระบบสืบค้นราคาประเมินที่ดินออนไลน์ ให้ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลได้ง่าย สะดวก และรวดเร็ว

L: Legacy - การเพิ่มคุณค่าทางประวัติศาสตร์

กรมธนารักษ์จะยกระดับการผลิตและจำหน่ายเหรียญกษาปณ์ให้เป็นมาตรฐานสากล และพัฒนาตลาดรองเพื่อเพิ่มมูลค่าเหรียญกษาปณ์ให้ตรงตามความต้องการของนักสะสม

สิ่งที่น่าสนใจคือการนำแนวคิด ESG (Environmental, Social, and Governance) ซึ่งหมายถึงการดำแนินธุรกิจที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล มาใช้ในกระบวนการผลิตเหรียญกษาปณ์

นอกจากนี้ จะมีการบูรณาการร่วมกับชุมชนเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเรียนรู้เชิงประวัติศาสตร์และอนุรักษ์วัฒนธรรม รวมถึงส่งเสริมให้พิพิธภัณฑ์ของกรมฯ สามารถช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจชุมชนและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่และละแวกใกล้เคียง

U: Unity - ความเป็นหนึ่งเดียวของบุคลากร

กรมธนารักษ์มุ่งส่งเสริมบุคลากรให้ "เก่ง ดี มีความสุข" ด้วยการเพิ่มเติมทักษะที่จำเป็นทั้งในเรื่องงาน Current Skill (ทักษะปัจจุบัน) และ Future Skill (ทักษะอนาคต)

หนึ่งในนวัตกรรมสำคัญคือการจัดตั้งโรงเรียนธนารักษ์ออนไลน์ เพื่อพัฒนาศักยภาพบุคลากรอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งส่งเสริมให้บุคลากรเป็นคนดีผ่านการนำองค์กรคุณธรรมมาใช้ เพื่อให้เกิดความโปร่งใส ซื่อสัตย์ และตรวจสอบได้

กรมฯ ยังสร้างองค์กรมนียสถานที่เอื้อต่อการทำงาน และสนับสนุนการทำงานให้มีประสิทธิภาพ เพื่อให้บุคลากรมีความสุขในการปฏิบัติงาน

E: Efficiency - การเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน

การปรับกระบวนการทำงานให้คล่องตัวแบบ Agile และการนำเทคโนโลยีดิจิทัล การวิเคราะห์ข้อมูล และปัญญาประดิษฐ์ (Digital, Data, AI) มาใช้ในการทำงาน

นวัตกรรมที่น่าจับตามองคือการพัฒนา "น้องรักษ์" ซึ่งเป็นระบบปัญญาประดิษฐ์ที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเจ้าหน้าที่ ตอบคำถามของประชาชน และยกระดับการให้บริการให้สะดวกและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น

การปรับปรุงกฎหมายและกฎระเบียบ รวมถึงการลดขั้นตอนการทำงานที่ไม่จำเป็น และการกระจายอำนาจให้ธนารักษ์ภาค จะทำให้การตัดสินใจและการดำเนินงานในพื้นที่มีความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

 

กรมธนารักษ์เปิดกลยุทธ์ "VALUE" ดันรายได้ 20% สร้างความมั่งคั่งให้คนไทยทุกคน

 

โครงการต้นแบบเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน

สำหรับการขับเคลื่อนกลยุทธ์ในปี 2568 กรมธนารักษ์จะพัฒนาโครงการต้นแบบในรูปแบบต่างๆ ดังนี้:

โครงการธนารักษ์เอื้อราษฎร์ต้นแบบ - การพัฒนาที่มีชุมชนเป็นแกนกลาง เพื่อส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนที่ตอบสนองความต้องการของคนในพื้นที่

โครงการร่วมมือกับกระทรวงสาธารณสุข - การนำที่ราชพัสดุมาใช้ประโยชน์ในการให้บริการทางการแพทย์แก่ประชาชน ซึ่งจะช่วยขยายการเข้าถึงบริการสาธารณสุขในพื้นที่ห่างไกล

โครงการต้นแบบพัฒนาอาคารเชิงอนุรักษ์วัฒนธรรม - เช่น โครงการพิพิธตลาดน้อยที่ได้ดำเนินการเสร็จสิ้นไปแล้ว ซึ่งเป็นตัวอย่างการผสมผสานระหว่างการอนุรักษ์และการใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์

โครงการต้นแบบพลังงานสะอาด - การทำฟาร์มพลังงานแสงอาทิตย์ในที่ราชพัสดุ และการติดตั้งพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาอาคาร เพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด

 

มุ่งสู่อนาคตที่ยั่งยืน

ดร. เอกนิติกล่าวในตอนท้ายว่า "ด้วยยุทธศาสตร์และกลยุทธ์ที่กรมธนารักษ์ตั้งใจจะขับเคลื่อนนี้ จะเป็นการวางรากฐานสำคัญในการเพิ่มมูลค่าและคุณค่าทรัพย์สินของแผ่นดิน เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ยกระดับคุณภาพชีวิตให้พี่น้องประชาชน ส่งเสริมสิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรม สร้างความยั่งยืนต่อไป"

การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ไม่เพียงแต่เป็นการปรับปรุงวิธีการบริหารทรัพย์สินของรัฐ แต่ยังเป็นการสร้างคุณค่าที่ยั่งยืนให้กับประเทศและประชาชนชาวไทยทุกคน ผ่านการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรที่มีอยู่อย่างชาญฉลาดและเป็นธรรม เพื่อประโยชน์สุขของคนไทยในอนาคต