เส้นทาง "การคลังไทย" ในช่วงวิกฤติ - บทเรียนและการฟื้นฟูเศรษฐกิจ

30 เม.ย. 2568 | 23:34 น.

บทบาท "กระทรวงการคลัง" ในการพลิกวิกฤตเป็นโอกาส จาก "ต้มยำกุ้ง" ถึง "โควิด" ด้วยกลยุทธ์ "การฟื้นฟูเศรษฐกิจ" ที่สร้างความเข้มแข็งให้ประเทศไทยตลอด 150 ปีที่ผ่านมา

ในระยะเวลา 150 ปีของการก่อตั้ง "กระทรวงการคลัง" ประเทศไทยผ่านวิกฤติการณ์ทางเศรษฐกิจมาหลายครั้ง แต่ละครั้งกระทรวงการคลังมีบทบาทสำคัญในการแก้ไขปัญหาและวางรากฐานเพื่อป้องกันวิกฤติในอนาคต

 

ช่วงเวลาสำคัญเกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 7 เมื่อวิกฤติเศรษฐกิจโลกครั้งใหญ่ (Great Depression) ในปี พ.ศ. 2473 ส่งผลกระทบต่อประเทศไทยอย่างรุนแรง ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทำให้รัฐบาลต้องปรับลดงบประมาณและยุบรวมหน่วยงานหลายแห่ง

 

รวมถึงการยุบกรมกษาปณ์สิทธิการลงมาเป็นเพียงโรงงานขึ้นกับกรมฝิ่นหลวง (ปัจจุบันคือกรมสรรพสามิต) และทำให้โรงกษาปณ์ไทยต้องหยุดการผลิตเหรียญกษาปณ์เป็นเวลานาน

ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เศรษฐกิจไทยประสบกับภาวะเงินเฟ้ออย่างรุนแรง กระทรวงการคลังได้ดำเนินนโยบายฟื้นฟูเศรษฐกิจหลายประการ เช่น การดำเนินนโยบายการคลังแบบเข้มงวด การปฏิรูประบบภาษี และการจัดตั้งรัฐวิสาหกิจทางการเงิน

 

จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2496 เมื่อมีการประกาศใช้พระราชบัญญัติว่าด้วยการจัดตั้งองค์การของรัฐบาล ซึ่งเป็นรากฐานของการก่อกำเนิดรัฐวิสาหกิจต่างๆ ในสังกัดกระทรวงการคลัง เช่น ธนาคารกรุงไทย ธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร และธนาคารอาคารสงเคราะห์ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ

นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวถึงวิกฤตเศรษฐกิจที่ประเทศไทยเคยผ่านมาว่า "ถ้าจะมองเรื่องการคลัง ความเข้มแข็งทางการคลัง ผมอยากให้ย้อนไปดูเรื่องเก่าๆ วิกฤตแรกที่เราเคยเจอคือช่วงปี 2527-28 มีเศรษฐกิจตกต่ำ ราคาน้ำมันสูง มีการลดค่าเงิน ซึ่งเป็นความท้าทายทางการคลังครั้งหนึ่ง แล้วก็ผ่านมาได้ ผ่านมาอีก 12 ปี เราเจอวิกฤตต้มยำกุ้งปี 2540 แล้วเมื่อผ่านไปอีก 10-12 ปี ก็เจอวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ และอีก 12 ปีต่อมาก็เจอโควิด ทุกครั้งมีความท้าทายต่อการคลังตลอด"

 

เส้นทาง "การคลังไทย" ในช่วงวิกฤติ - บทเรียนและการฟื้นฟูเศรษฐกิจ

 

วิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ ในปี พ.ศ. 2551 เป็นอีกบททดสอบสำคัญของกระทรวงการคลัง เมื่อวิกฤติสินเชื่อซับไพรม์ในสหรัฐอเมริกาส่งผลกระทบลุกลามไปทั่วโลก ประเทศไทยได้ใช้บทเรียนจากวิกฤติต้มยำกุ้งเพื่อรับมือกับสถานการณ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

โดยกระทรวงการคลังได้ดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจหลายรูปแบบ เช่น การอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบผ่านโครงการเช็คช่วยชาติ นโยบายภาษีเพื่อกระตุ้นการลงทุนและการบริโภค และการเพิ่มวงเงินประกันเงินฝากเพื่อรักษาเสถียรภาพของระบบการเงิน ทำให้ประเทศไทยได้รับผลกระทบน้อยกว่าหลายประเทศและฟื้นตัวได้เร็วกว่าที่คาดการณ์

 

การรับมือกับวิกฤติโควิด-19 นับเป็นความท้าทายครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งของกระทรวงการคลัง เมื่อการแพร่ระบาดส่งผลกระทบรุนแรงต่อทั้งระบบเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงการคลังได้ออกมาตรการช่วยเหลือเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ครอบคลุมทุกภาคส่วน ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2563 เป็นต้นมา

 

เส้นทาง "การคลังไทย" ในช่วงวิกฤติ - บทเรียนและการฟื้นฟูเศรษฐกิจ

 

มาตรการทางการคลังที่สำคัญในช่วงโควิด-19 รวมถึงโครงการเราไม่ทิ้งกัน ที่มอบเงินช่วยเหลือ 5,000 บาทต่อเดือนแก่แรงงานนอกระบบและผู้ประกอบอาชีพอิสระกว่า 15 ล้านคน โครงการคนละครึ่งและเราชนะที่กระตุ้นการบริโภคและช่วยเหลือร้านค้ารายย่อย มาตรการพักชำระหนี้สำหรับลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบ และการจัดสรรสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำผ่านธนาคารของรัฐเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs

 

นอกจากนี้ กระทรวงการคลังยังได้ออก พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 วงเงินไม่เกิน 1 ล้านล้านบาท

 

และพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคมจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 วงเงินไม่เกิน 5 แสนล้านบาท

 

เมื่อย้อนมองกลับไปตลอด 150 ปีที่ผ่านมา เส้นทางของกระทรวงการคลังคือการปรับตัวอย่างต่อเนื่องเพื่อรับมือกับความท้าทายในแต่ละยุคสมัย บทเรียนจากวิกฤตเศรษฐกิจในอดีตได้หล่อหลอมให้ประเทศไทยมีความเข้มแข็งทางการคลังมากขึ้น และพร้อมที่จะก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง

 

"ด้วยการดูแลเรื่องการคลังโดยคนของกระทรวงการคลัง ด้วยกฎหมาย ด้วยระเบียบต่างๆ ที่เรามี ทำให้เรามีพื้นที่รองรับความเสี่ยงทางการเงินต่างๆ ได้มากพอ และเราสามารถผ่านวิกฤตทุกครั้งได้อย่างดี" นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวทิ้งท้าย


งาน "MOF Journey 150 ปีเส้นทางการคลังไทย" ที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 1-3 พฤษภาคม 2568 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ จะนำเสนอบทเรียนจากวิกฤติเศรษฐกิจในอดีต และแสดงให้เห็นถึงการปรับตัวของกระทรวงการคลัง