สภาทองคำโลก (World Gold Council: WGC) รายงานสถานการณ์ความต้องการทองคำทั่วโลกในไตรมาส 1 ปี 2568 เพิ่มขึ้นแตะ 1,206 ตัน เพิ่มขึ้น 1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน นับเป็นระดับสูงสุดในรอบ 9 ปี นับตั้งแต่ปี 2559 โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลักจากการไหลเข้าของกองทุน ETF ทองคำที่พุ่งแรงกว่า 170% และการซื้อสุทธิของธนาคารกลางทั่วโลก
รายงานระบุว่า ความต้องการทองคำในรูปแบบการลงทุนรวม (รวม ETF และ OTC) อยู่ที่ 552 ตัน เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนถึง 170% ถือเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ไตรมาส 1 ปี 2565 โดยเฉพาะกองทุน ETF ทองคำที่กลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง ท่ามกลางความกังวลต่อภาษีสหรัฐ ความผันผวนของตลาดหุ้น และแนวโน้มค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่า
ธนาคารกลางทั่วโลกยังคงเป็นผู้ซื้อทองคำรายใหญ่ โดยไตรมาสนี้ซื้อสุทธิรวม 244 ตัน แม้จะลดลงเล็กน้อยจากไตรมาสก่อนหน้า แต่ยังอยู่ในกรอบเฉลี่ยของช่วง 3 ปีที่ผ่านมา สะท้อนความเชื่อมั่นในทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยในภาวะภูมิรัฐศาสตร์ผันผวน
ขณะที่ความต้องการทองคำในรูปแบบ “ทองแท่งและเหรียญ” อยู่ที่ 325 ตัน สูงกว่าค่าเฉลี่ยรายไตรมาส 5 ปีถึง 15% โดยมี “จีน” เป็นตลาดหลักที่ขับเคลื่อนการเติบโตในส่วนนี้ ด้วยปริมาณการลงทุนภาคประชาชนที่สูงเป็นอันดับสองในประวัติการณ์
ในส่วนของภาคเทคโนโลยี ความต้องการทองคำทรงตัวที่ 80 ตัน จากแรงหนุนของเทคโนโลยี AI ที่ผลักดันความต้องการในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ขณะที่ความไม่แน่นอนด้านภาษีการค้าอาจเป็นอุปสรรคในช่วงครึ่งปีหลัง
อย่างไรก็ตาม ความต้องการทองคำในรูปแบบ “เครื่องประดับ” ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากราคาทองคำที่ปรับตัวทำสถิติสูงสุด ส่งผลให้ปริมาณการซื้อขายลดลงถึงระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ช่วงโควิด-19 ในปี 2563 แม้ว่าหากคิดเป็นมูลค่าการใช้จ่ายผู้บริโภคจะยังเติบโต 9% สู่ระดับ 35,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ด้านราคาทองคำเฉลี่ยรายไตรมาส (LBMA ราคาบ่าย) อยู่ที่ 2,860 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ เพิ่มขึ้น 38% เมื่อเทียบกับปีก่อน และทำสถิติใหม่หลายครั้งในช่วงต้นปี 2568 โดยมูลค่าความต้องการทองคำทั่วโลกในไตรมาส 1 เกือบแตะระดับสถิติใหม่ 111,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นผลจากราคาทองที่ทะยานขึ้นต่อเนื่อง
ในส่วนของอุปทานทองคำโลก เพิ่มขึ้น 1% มาอยู่ที่ 1,206 ตัน โดยการผลิตจากเหมืองแตะระดับสูงสุดใหม่ในไตรมาสที่ 856 ตัน ขณะที่การรีไซเคิลทองลดลง 1% เนื่องจากผู้บริโภคยังไม่เร่งขายทอง รอจังหวะราคาปรับขึ้นต่อ
ที่มา World Gold Council