นายทรงพล ชีวะปัญญาโรจน์ เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) เปิดเผยว่า แผนกลยุทธ์การลงทุนระยะยาว (Strategic Asset Allocation : SAA) ฉบับใหม่ เพื่อใช้กำหนดนโยบายพอร์ตลงทุนของเงินสมาชิกปัจจุบันที่มีมูลค่าประมาณ 4.9 แสนล้านบาท อยู่ระหว่างขั้นตอนการจัดทำแผนที่จะกำหนดกรอบนโยบายการลงทุนระหว่างปี 69-71 คาดว่าจะแล้วเสร็จและได้ข้อสรุปภายในเดือนมิ.ย. - ส.ค. 68 นี้
โดย SAA ใหม่ดังกล่าวจะมีการแยกประเภทสินทรัพย์ทองคำออกมาจากสินทรัพย์ลงทุนทางเลือกออกมาเป็นกลุ่มสินทรัพย์ประเภทใหม่ เนื่องจากทองคำถือเป็นสินทรัพย์ที่สามารถช่วยบริหารรองรับความเสี่ยงได้ค่อนข้างดี เดิมในปี 67 ได้กำหนดนโยบายสัดส่วนการลงทุนไว้ไม่เกิน 15% ของพอร์ตรวม แต่เมื่อมาถึงปี 68 ทาง กบข. ได้ปรับเพิ่มสัดส่วนเป็นไม่เกิน 25% ของพอร์ตรวม
ประกอบกับจากสถานการณ์ความกังวลต่อนโยบายภาษีศุลกากร หรือ "ภาษีตอบโต้" ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่มีความรุนแรงและไม่แน่นอนมากขึ้น ส่งผลให้ในปี 67 ที่ผ่านมา การลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำสามารถสร้างผลตอบแทนให้กับ กบข. ได้ประมาณ 25% นอกจากนี้ นับตั้งแต่ต้นปี 68 ถึงปัจจุบันพอร์ตลงทุนทองยังให้ผลตอบแทนที่ดีต่อเนื่องอยู่ที่ประมาณ 20%
ในขณะเดียวกันจากสถานการณ์นโยบายกำแพงภาษีของสหรัฐฯ ที่มีความผันผวนอยู่มาก ส่งผลให้ในปี 68 นี้ พอร์ตลงทุนระยะสั้นของ กบข. ได้มีการปรับกลยุทธ์การลงทุนเพื่อรองรับสถานการณ์ที่ไม่ปกติ (Tactical Asset Allocation : TAA) ให้มีความถี่มากขึ้น โดยนับตั้งแต่เดือนม.ค. ต่อเนื่องถึงเดือนเม.ย. 68 มีการปรับพอร์ตไปแล้วทั้งสิ้น 3 ครั้ง
ซึ่งเทียบเท่ากับการปรับพอร์ตของทั้งปี 67 ที่มีจำนวน 3 ครั้งเช่นเดียวกัน และเชื่อว่าในช่วงที่เหลือของปีนี้มีโอกาสที่จะปรับพอร์ตเพิ่มเติมอีก หลักๆ เพื่อเลี่ยงผลกระทบจากความเสี่ยงต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น
"มองว่าจากการออกมาตอบโต้นโยบายทางภาษีอย่างต่อเนื่องของทรัมป์มีผลทำให้เกิดความผิดพลาดของการดำเนินงาน ซึ่งผลกระทบดังกล่าวสร้างแรงกระเพื่อมในวงกว้างต่อเศรษฐกิจและการค้าทั่วโลก ดังนั้นจึงเชื่อว่าความไม่มั่นใจ ความไม่แน่ใจในเชิงนโยบายของทรัมป์จะยังคงมีอยู่ต่อไป ซึ่งเป็นความท้าทายที่ กบข. ต้องปิดความเสี่ยงตรงนี้ให้ได้มากที่สุด"
ด้านการลงทุนในตลาดหุ้นไทยนั้น ปัจจุบัน กบข. ได้เพิ่มสัดส่วนเป็น 6% จากปีก่อนที่ประมาณ 3% ของพอร์ต หลังจากราคาหุ้นปรับตัวลดลง เน้นลงทุนในหุ้นบนดัชนี SET50 free float และจะเลือกลงทุนในหุ้นรายตัว โดยการปรับกลยุทธ์ตั้งแต่ปลายไตรมาส 3/67 จากเดิมที่เคยลงทุนบนดัชนี SET50 สำหรับกลุ่มหุ้นที่มีโอกาสเติบโต และมีโอกาสได้รับเงินปันผลที่สูง
รวมถึงสามารถลงทุนได้ในราคาที่ถูก หลังจากราคาหุ้นปรับตัวลดลงมาอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา เช่น หุ้นกลุ่มโรงแรม , ท่องเที่ยว และ โรงพยาบาล เป็นต้น
นอกจากนี้ ยังมองว่าด้วยโอกาสที่ กนง. จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปี 68 เพิ่มเติมนั้น จะเป็นผลบวกต่อผู้ประกอบการ เพราะทำให้ภาระค่าใช้จ่ายลดลง หนุนเศรษฐกิจให้ดีขึ้นได้บ้าง แม้ว่าอาจส่งผลกระทบต่อรายได้ส่วนต่างดอกเบี้ยของหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ แต่ในอีกมุมหนึ่งก็มองว่าแบงก์ยังได้รับอานิสงส์เชิงบวกจากความสามารถในการชำระของลูกหนี้ที่ดีขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน
ทั้งนี้ ณ สิ้นปี 67 กบข. มีขนาดกองทุนใหญ่ขึ้น 1.06 แสนล้านบาท รวมมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ (รวมเงินสำรอง) ที่ประมาณ 1.4 ล้านล้านบาท สามารถสร้างผลตอบแทนแผนสมดุลตามอายุ (สัดส่วนใหม่) 8.93% แผนทองคำ 24.67% แผนหลัก 3.73% ซึ่งกบข. สามารถดำเนินงานได้ตามเป้าหมายผลตอบแทนการลงทุนระยะยาวชนะอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ย 10 ปี ย้อนหลังบวก 2%
สำหรับสัดส่วนพอร์ตการลงทุนในปัจจุบัน แบ่งออกเป็น สินทรัพย์ทางเลือก 20.62% ตราสารทุน (ทั้งไทยและต่างประเทศ) 22.62% และตราสารหนี้ 56.76% เป็นต้น
"เราลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภท เพราะจะช่วยให้สามารถกระจายความเสี่ยงได้มากขึ้น อย่างช่วงที่ผ่านมาเราปรับพอร์ตลงทุนในทองคำเพิ่มขึ้นทำให้มีส่วนช่วยลดความเสี่ยงได้มากพอสมควร ด้านเงินบาทมองว่ายังคงผันผวน แต่ถามว่าจะเพิ่มสัดส่วนทองคำอีกหรือไม่นั้นก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ แต่เราเฝ้าติดตามสถานการณ์ต่างๆ อย่างใกล้ชิดเพื่อรับมือให้ทันต่อสถานการณ์"
นอกเหนือจากนี้ กบข. ยังมองหาโอกาสในการลงทุนใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันอยู่ระหว่างการศึกษาการลงทุนผ่านกองทุนที่ลงทุนในโครงการที่อยู่อาศัยหลังเกษียณในต่างประเทศ (Senior Housing) ไม่ว่าจะเป็นใยประเทศออสเตรเลีย ยุโรป และจีน เบื้องต้นคาดว่าจะเห็นการลงทุนไม่เกินสิ้นปี 68 นี้ โดยที่ผ่านมา กบข. สามารถสร้างผลตอบแทนจากการลงทุน (IRR) อยู่ที่ 8-12%
โดย กบข.มีความสนใจในโครงการดังกล่าวเพื่อนำมาประยุกต์ใช้กับการลงทุนในประเทศไทย เพราะถือว่าสอดคล้องกับนโยบายการลงทุนของ กบข. ที่มีการลงทุนโครงการอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งปัจจุบันมีการลงทุนอาคารสำนักงาน และโรงแรม อยู่แล้ว และผลการดำเนินงานยังคงเป็นที่น่าพอใจ
"เราสนใจที่จะลงทุนโครงการที่อยู่อาศัยหลังเกษียณในต่างประเทศ เบื้องต้นจะลงทุนผ่านกองทุน และในอนาคตจะลงทุนทางตรง แต่อาจต้องหาพาร์ทเนอร์ที่มีความเชี่ยวชาญและมีศักยภาพเข้ามาช่วยด้วย มองว่าสังคมผู้สูงอายุกำลังเกิดขึ้นในหลายประเทศ ไทยเองก็เป็นหนึ่งในนั้น จะทำอย่างไรให้ชีวิตความเป็นอยู่ดีมีความสุขหลังเข้าวัยเกษียณ เรามองเห็นถึงความสำคัญตรงนี้"