ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 23เม.ย.“อ่อนค่าลงหนัก” ที่ระดับ 33.63 บาทต่อดอลลาร์

23 เม.ย. 2568 | 00:51 น.
อัปเดตล่าสุด :23 เม.ย. 2568 | 03:17 น.

ค่าเงินบาทอาจเริ่มชะลอลงได้บ้าง เนื่องจากฝั่งผู้ส่งออกต่างรอทยอยขายเงินดอลลาร์ หากเงินบาทอ่อนค่าทะลุโซน 33.50 บาทต่อดอลลาร์ มองกรอบในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.35-33.75 บาท/ดอลลาร์

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 23เม.ย.2568ที่ระดับ  33.63 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงหนัก”จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ  33.23 บาทต่อดอลลาร์

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่าแนวโน้มของค่าเงินบาท เราประเมินว่า การอ่อนค่าลงเร็วและแรงของเงินบาทในช่วงคืนที่ผ่านมานั้น อาจเริ่มชะลอลงได้บ้าง เนื่องจากผู้เล่นในตลาดบางส่วน อย่าง ฝั่งผู้ส่งออกต่างก็รอทยอยขายเงินดอลลาร์ หากเงินบาทอ่อนค่าทะลุโซน 33.50 บาทต่อดอลลาร์

นอกจากนี้ เรามองว่า บรรยากาศเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินสหรัฐฯ หลังผู้เล่นในตลาดเริ่มคลายกังวลประเด็นความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน อาจส่งผลดีต่อทิศทางสินทรัพย์เสี่ยงฝั่งเอเชีย ด้วยเช่นกัน

 สะท้อนผ่าน การทยอยแข็งค่าขึ้นบ้างของเงินหยวนจีน ในช่วงเช้านี้ (เงินหยวนจีน ยังคงเคลื่อนไหวสอดคล้องกับเงินบาท สูงถึง 80% เมื่อประเมินจาก 30-day correlation) และที่สำคัญ หากราคาทองคำรีบาวด์สูงขึ้นบ้าง

หรือแกว่งตัวในกรอบ Sideways เป็นอย่างน้อย ก็อาจช่วยชะลอการอ่อนค่าของเงินบาท หรือกลับมาหนุนการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทได้ หากราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องอีกครั้ง

 

อย่างไรก็ดี แรงกดดันฝั่งอ่อนค่าต่อเงินบาทก็ยังมีอยู่ โดยเงินดอลลาร์ยังมีโอกาสทยอยแข็งค่าขึ้นต่อได้ หากผู้เล่นในตลาดกลับมามีความเชื่อมั่นต่อสินทรัพย์สหรัฐฯ มากขึ้น ซึ่งต้องรอลุ้น รายงานดัชนี S&P PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการ

รวมถึงรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ อื่นๆ ในคืนนี้ ว่าจะออกมาดีกว่าคาด หรือ ปรับตัวดีขึ้นจากรายงานครั้งก่อนได้หรือไม่ ส่วนโฟลว์ธุรกรรมจ่ายเงินปันผลให้กับบรรดานักลงทุนต่างชาติก็ยังคงมีอยู่ และจะทยอยเพิ่มสูงขึ้น ทำให้การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทก็เป็นไปอย่างจำกัดได้เช่นกัน

เราประเมินว่า โซนแนวต้านใหม่ของเงินบาทอาจขยับมาอยู่แถว 33.70-33.80 บาทต่อดอลลาร์ ส่วนโซนแนวรับอาจอยู่ในช่วง 33.30-33.40 บาทต่อดอลลาร์

ท่ามกลางความผันผวนในตลาดการเงินที่ยังอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะในช่วงปีหน้าที่จะเผชิญกับ Trump’s Uncertainty ทำให้เรายังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้

มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.35-33.75 บาท/ดอลลาร์

 

 

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนวันที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) พลิกกลับมาอ่อนค่าลงต่อเนื่องทะลุโซนแนวต้าน 33.50 บาทต่อดอลลาร์ (แกว่งตัวในกรอบ 33.18-33.70 บาทต่อดอลลาร์) หลังผู้เล่นในตลาดเริ่มคลายกังวลประเด็นความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนลงบ้าง จากคำสัมภาษณ์ของทั้งรัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ และประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์

นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดยังลดความกังวลต่อประเด็นการเมืองเข้าแทรกแซงการทำงานของเฟด หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ระบุว่า ไม่ได้ต้องการที่จะไล่ประธานเฟด Jerome Powell ออกจากตำแหน่ง ซึ่งภาพดังกล่าว ได้หนุนให้บรรยากาศตลาดการเงินสหรัฐฯ พลิกกลับมาอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง (Risk-On)

กดดันให้ ผู้เล่นในตลาดต่างเทขายสินทรัพย์ปลอดภัย ยอดนิยมในช่วงที่ผ่านมา ทั้ง เงินเยนญี่ปุ่น (JPY) และทองคำ ส่วนเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นเช่นกัน โดยการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ที่มาพร้อมกับจังหวะการปรับตัวลงแรงของราคาทองคำ ได้กดดันให้ เงินบาทอ่อนค่าลงต่อเนื่องจนทะลุโซนแนวต้าน 33.50 บาทต่อดอลลาร์ 

บรรยากาศในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ พลิกกลับมาอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง หลังคำสัมภาษณ์ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และรัฐมนตรีคลังล่าสุด ได้ทำให้ผู้เล่นในตลาดเริ่มคลายความกังวลต่อสถานการณ์ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน

นอกจากนี้ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ยังได้ระบุว่า ไม่ได้มีความต้องการไล่ประธานเฟดออกจากตำแหน่ง ซึ่งภาพดังกล่าว ทำให้ผู้เล่นในตลาดเริ่มกลับมามีความเชื่อมั่นต่อสินทรัพย์สหรัฐฯ อีกครั้ง ส่งให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด +2.51%

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 รีบาวด์ขึ้น +0.25% หนุนโดยรายงานผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่ออกมาดีกว่าคาด อาทิ L’ Oreal +6.3% ทว่า ตลาดหุ้นยุโรปก็ถูกกดดันโดยแรงขายหุ้น Novo Nordisk -7.4%

หลังผลทดลองของยาลดน้ำหนักตัวใหม่ของ Eli Lilly นั้นออกมาดี จนอาจกระทบยอดขายยาลดน้ำหนักยอดนิยมของ Novo Nordisk (Ozempic) อย่างไรก็ดี ภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ได้หนุนให้ สัญญาฟิวเจอร์สตลาดหุ้นยุโรป (STOXX50) ล่าสุดปรับตัวขึ้น +1.6%

ในส่วนตลาดบอนด์ แม้ว่าบรรยากาศในตลาดการเงินสหรัฐฯ จะพลิกกลับมาอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง (Risk-On) แต่ความเชื่อมั่นต่อสินทรัพย์สหรัฐฯ ที่เริ่มฟื้นตัวดีขึ้น หลังผู้เล่นในตลาดคลายกังวลประเด็นสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน

และประเด็นการแทรกแซงเฟดจากฝั่งการเมืองสหรัฐฯ ก็หนุนให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนอาศัยจังหวะที่บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นในช่วงที่ผ่านมา จนทะลุโซน 4.40% ในการทยอยเข้าซื้อ ทำให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ย่อตัวลงบ้างสู่ระดับ 4.35%

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้น ตามภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินสหรัฐฯ และความเชื่อมั่นต่อสินทรัพย์สหรัฐฯ ที่ฟื้นตัวขึ้น กดดันให้ผู้เล่นในตลาดทยอยขายสินทรัพย์ปลอดภัย

อาทิ เงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ที่อ่อนค่าลงทะลุระดับ 142 เยนต่อดอลลาร์ ทยอยรีบาวด์แข็งค่าขึ้นบ้าง ทำให้โดยรวมเงินดอลลาร์ปรับตัวขึ้นสู่โซน 99.3 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 98.3-99.4 จุด)

ในส่วนของราคาทองคำ บรรยากาศเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินสหรัฐฯ ได้กดดันให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน มิ.ย. 2025) ดิ่งลงหนัก สู่โซน 3,350-3,360 ดอลลาร์ต่อออนซ์

สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ บรรดาผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ และบรรดาประเทศเศรษฐกิจหลัก ทั้ง ยูโรโซน อังกฤษ และญี่ปุ่น ผ่านรายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตอุตสาหกรรมและภาคการบริการ (Manufacturing & Services PMIs) ในเดือนเมษายน

นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางหลัก (เฟด, BOE และ ECB) เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงิน โดยล่าสุด ผู้เล่นในตลาดต่างคาดว่า เฟดมีโอกาสราว 28% ที่จะลดดอกเบี้ย 4 ครั้ง ในปีนี้ (ลดลงจากช่วงก่อนหน้าพอสมควร) หลังผู้เล่นในตลาดเริ่มคลายกังวลประเด็นสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน และลดความกังวลต่อประเด็นการเข้าแทรกแซงการทำงานของเฟด โดยฝั่งการเมืองสหรัฐฯ

และในฝั่งเอเชีย ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นผลการประชุมธนาคารกลางอินโดนีเซีย (BI) ซึ่งเราประเมินว่า BI จะเลือกคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 5.75% เพื่อรักษาเสถียรภาพของค่าเงินรูเปียะห์ (IDR) แต่ก็มีโอกาสทยอยลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมได้ในปีนี้ เพื่อประคองเศรษฐกิจจากผลกระทบของนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ

นอกเหนือจากปัจจัยข้างต้น ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม รายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจจากบรรดาเฟดสาขาต่างๆ (Fed Beige Book) และรอลุ้นรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน ซึ่งอาจกระทบต่อบรรยากาศในตลาดการเงินได้ 

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า เงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 33.48-33.50 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (10.15 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 33.22 บาทต่อดอลลาร์ฯ

โดยเงินบาทและสกุลเงินเอเชียหลายสกุล (ยกเว้น เงินหยวน) อ่อนค่าลง ท่ามกลางแรงซื้อคืนเงินดอลลาร์ฯ หลังมีสัญญาณผ่อนคลายลงทั้งในประเด็นเรื่องสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน และแรงกดดันต่อเฟด โดยรมว. คลังสหรัฐฯ กล่าวว่า การตอบโต้ด้านภาษีระหว่างสหรัฐฯ และจีน ไม่สามารถยืนระยะได้ และความขัดแย้งด้านการค้าของ 2 ประเทศ จะทยอยคลี่คลายลง แม้การเจรจาจะยังไม่ได้เริ่มอย่างเป็นทางการ

ขณะที่ ปธน. โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ระบุว่า เขาไม่มีเป้าหมายที่จะปลดนายเจอโรม พาวเวล ออกจากตำแหน่งประธานเฟดก่อนครบวาระ แม้จะอยากให้เฟดลดดอกเบี้ยเพื่อช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจก็ตาม 

นอกจากนี้ เงินบาทยังมีปัจจัยลบเพิ่มเติมจากการปรับตัวลงของราคาทองคำในตลาดโลกตามแรงขายทำกำไร (หลังราคาทะยานขึ้นทำสถิติสูงเป็นประวัติการณ์หลายรอบในช่วงที่ผ่านมา) ด้วยเช่นกัน

สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 33.40-33.70 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ราคาทองคำในตลาดโลก ประเด็นของสงครามการค้าสหรัฐฯ กับคู่ค้าหลายประเทศ และสัญญาณฟันด์โฟลว์ของต่างชาติในตลาดการเงินไทย ผลการประชุมธนาคารกลางอินโดนีเซีย รวมถึง PMI เบื้องต้นสำหรับเดือนเม.ย. ของยูโรโซน และสหรัฐฯ และยอดขายบ้านใหม่เดือนมี.ค. ของสหรัฐฯ