วันนี้ (9 เมษายน 2568) ที่โรงแรมวอลดอร์ฟ แอสโทเรีย กรุงเทพฯ นายจิติพล พฤกษาเมธานันท์ หัวหน้าส่วนงานกลยุทธ์การลงทุนต่างประเทศ บล.ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) เปิดเผยในงานสัมมนา Roundtable "Trump's Global Quake: Thailand Survival Strategy เรื่องผ่ากำแพงภาษี “ทรัมป์” ฝ่าวิกฤติเศรษฐกิจ: Out of The Trump's Uncertainty จัดโดยสื่อเครือเนชั่น ฐานเศรษฐกิจ กรุงเทพธุรกิจ และโพสต์ทูเดย์ ว่า
จากสถานการณ์ที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ เรียกเก็บภาษีศุลกากรภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) จากหลายประเทศนั้น ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นแน่นอน โดยแนวโน้มตลาดหุ้นไทยหลังจากนี้ ยังมีดาวน์ไซด์จากกำแพงภาษีซึ่งน่าจะเป็นแบบนี้อีกระยะจนกว่าจะมีข่าวดีเกิดขึ้น
“ไม่ใช่ข่าวดีกับเราจนกว่าจะมีข่าวดีเข้ามา และตลาดจะเป็นจุดต่ำสุด ก็ต่อเมื่อมีข่าวเลวร้ายเกิดขึ้นแล้วดัชนีไม่ลงไปอีก หลังจากนั้นมีโอกาสฟื้นตัวขึ้นมา โดยตอนนี้ยังไม่เห็น และส่วนตัวมองกรอบดัชนีแนวรับทางจิตวิทยาอยู่ที่ระดับ 999 จุด เป็นจุดที่ควรจะรีบาวด์ขึ้น”
นายจิติพล แนะนำว่า ในตอนนี้นักลงทุนที่มีหุ้นในมือระยะสั้นอีก 3-6 เดือนอาจต้องเจอกับข่าวร้าย หากถ้าทรัมป์เก็บภาษีจริง ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจไทยจะค่อย ๆ แย่ลง ดังนั้นนักลงทุนต้องตั้งรับให้ดี ขณะที่หุ้นต่างประเทศ เช่น หุ้นสหรัฐ แนะนำกลยุทธ์สลับเปลี่ยนกลุ่ม โดยยังไม่ต้องออกจากตลาด แต่เปลี่ยนจากกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยเป็นสินค้าอุปโภคบริโภค รวมทั้งกระจายความเสี่ยงพอร์ตการลงทุนด้วย
อย่างไรก็ตาม นายจิติพล ประเมินสถานการณ์ว่า นโยบายภาษีนำเข้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กำลังสร้างแรงสั่นสะเทือนต่อ "ตลาดทุนโลก" และ "ตลาดหุ้นไทย" โดยผลกระทบในปัจจุบันอยู่ในระยะแรก (Level 1) แต่หากสหรัฐฯ ยกประเด็นตลาดทุนเข้ามาเป็นเครื่องมือเจรจา อาจทำให้สถานการณ์รุนแรงขึ้น (Level 2) ซึ่งจะส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยเผชิญความผันผวนหนัก
ล่าสุด สหรัฐฯ กำลังผลักดัน "Mar-a-Lago Accord" ระเบียบการเงินใหม่ ที่เน้นให้ประเทศคู่ค้ามีสภาพคล่องเพียงพอเพื่อซื้อสินค้าสหรัฐฯ และชำระหนี้ ซึ่งอาจส่งผลกระทบใหญ่ (Big Great Impact) ต่อระบบการเงินโลก หลังมาตรการภาษีแบบกราดยิง ทรัมป์อาจเปลี่ยนมาเจรจาแบบทีเดียวจบในระดับสูง แทนการเจรจาเป็นรายประเทศ