ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 4ก.ย.2566 ที่ระดับ 35.12 บาทต่อดอลลาร์“อ่อนค่าลง”จากระดับปิดสัปดาหก่อนหน้า ที่ระดับ 35.00 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทยระบุว่านับตั้งแต่ช่วงคืนวันศุกร์ของสัปดาห์ก่อนหน้า เงินบาทเคลื่อนไหวผันผวนพอสมควร (แกว่งตัวในกรอบ 34.89-35.16 บาทต่อดอลลาร์) โดยมีจังหวะแข็งค่าเร็ว
ในช่วงก่อนตลาดทยอยรับรู้รายงานยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) ของสหรัฐฯ ก่อนที่จะพลิกกลับมาอ่อนค่าลง หลังเงินดอลลาร์ปรับตัวแข็งค่าขึ้น จากรายงานยอดการจ้างงานที่ออกมาสูงกว่าที่ตลาดคาด ทำให้ผู้เล่นในตลาดยังคงไม่มั่นใจต่อแนวโน้มการปรับนโยบายการเงินของเฟด
สัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดการเงินกลับมาอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง หลังผู้เล่นในตลาดปรับลดโอกาสเฟดเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยและโอกาสเฟดคงดอกเบี้ยได้นานขึ้น
ในสัปดาห์นี้ เรามองว่า ควรจับตาถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด รวมถึงเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางหลักอื่นๆ อาทิ ธนาคารกลางยุโรป (ECB) พร้อมรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ผ่านรายงานดัชนี ISM PMI ภาคการบริการ
มุมมองเศรษฐกิจทั่วโลก
▪ ฝั่งสหรัฐฯ – สัปดาห์นี้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐฯ อาจมีไม่มากนัก ทว่า ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ผ่านรายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการบริการ (ISM Services PMI) เดือนสิงหาคม โดยนักวิเคราะห์ต่างมองว่า ดัชนี ISM PMI ภาคการบริการอาจอยู่ที่ระดับ 52.5 จุด
สะท้อนว่าภาคการบริการสหรัฐฯ ยังสามารถขยายตัวต่อเนื่องได้ (ดัชนีสูงกว่า 50 จุด หมายถึง ภาวะขยายตัว) อย่างไรก็ดี โมเมนตัมการขยายตัวของภาคการบริการนั้นก็ชะลอลงต่อเนื่อง กดดันโดยผลกระทบของอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่อยู่ในระดับสูง รวมถึงภาวะการจ้างงานที่เริ่มชะลอตัวลง และนอกเหนือจากรายงานดัชนี ISM PMI ภาคการบริการ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม รายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจโดยเฟด หรือ Fed’s Beige Book
โดยเรามองว่า ผลการสำรวจภาวะเศรษฐกิจดังกล่าว อาจชี้ว่า ภาคธุรกิจในหลายพื้นที่ของเฟดอาจมีความกังวลต่อแนวโน้มการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจมากขึ้น และอาจได้รับผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูง รวมถึงภาวะสินเชื่อที่ตึงตัว ซึ่งเรามองว่า ภาพดังกล่าว กอปรกับรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ
ทั้งอัตราเงินเฟ้อและข้อมูลตลาดแรงงานที่ชะลอตัวลง อาจทำให้เฟด “คงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย” ไว้ที่ระดับ 5.25-5.50% ในการประชุมเดือนกันยายนนี้ และเราคงมุมมองเดิมว่า เฟดได้ถึงจุดยุติการขึ้นดอกเบี้ยในรอบนี้ไปแล้วและอาจเป็นเรื่องยากที่เฟดจะกลับมาขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมเดือนพฤศจิกายน (ล่าสุด ตลาดให้โอกาสราว 35% ในการขึ้นดอกเบี้ย) หากทั้งภาพรวมเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อมีทิศทางชะลอตัวลงมากยิ่งขึ้นในช่วงดังกล่าว
▪ ฝั่งยุโรป – ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตาถ้อยแถลงของประธานธนาคารกลางยุโรป (ECB) และบรรดาเจ้าหน้าที่ ECB เพื่อประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของ ECB โดยเราคาดว่า บรรดาเจ้าหน้าที่ ECB อาจยังคงส่งสัญญาณสนับสนุนการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อ
เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อของยูโรโซน แม้ว่าจะชะลอลงบ้าง แต่ก็ยังคงอยู่ในระดับสูงกว่าเป้าหมายไปมาก ทั้งนี้ การขึ้นดอกเบี้ยของ ECB อาจมีลักษณะค่อยเป็นค่อยไป หรือ ใกล้ถึงจุดยุติการขึ้นดอกเบี้ย หลังภาพรวมเศรษฐกิจชะลอตัวลงมากขึ้น
ซึ่งก็สอดคล้องกับ รายงานดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (Sentix Investor Confidence) เดือนกันยายน ที่อาจปรับตัวลดลงต่อเนื่องสู่ระดับ -19.6 จุด (ดัชนี ต่ำกว่า 0 สะท้อนว่า นักลงทุนส่วนใหญ่มีมุมมองเชิงลบต่อแนวโน้มเศรษฐกิจ)
▪ ฝั่งเอเชีย – นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ต่างประเมินว่า การฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนยังคงซบเซาอยู่ โดยยอดการส่งออก (Exports) เดือนสิงหาคม อาจหดตัวเกือบ -10%y/y ตามการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจคู่ค้า ขณะเดียวกันผลกระทบจากภาคการส่งออกที่ย่ำแย่อยู่
รวมถึงความต้องการบริโภคในประเทศที่ยังไม่ได้ฟื้นตัวดีขึ้นมาก จะทำให้ยอดการนำเข้า (Imports) อาจหดตัว -8.8%y/y ทั้งนี้ ภาพการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนที่ยังมีปัญหาอยู่ อาจยิ่งหนุนให้ทางการจีนออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม ในฝั่งญี่ปุ่น ตลาดคาดว่า เศรษฐกิจในไตรมาสที่ 2 อาจขยายตัวกว่า +6%y/y หนุนโดยการฟื้นตัวต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยว
ขณะที่ปัจจัยกดดันอาจมาจากฝั่งการส่งออกสินค้า ที่ยังคงได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจคู่ค้า และนอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ตลาดจะรอลุ้นผลการประชุมธนาคารกลางออสเตรเลีย (RBA) ซึ่งตลาดมองว่า RBA อาจเลือกที่จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 4.10% หลังอัตราเงินเฟ้อชะลอตัวลง แต่ก็ยังอยู่ในระดับสูงกว่าเป้าหมายพอควร
▪ ฝั่งไทย – เราประเมินว่า อัตราเงินเฟ้อ CPI ในเดือนสิงหาคม มีโอกาสเร่งตัวขึ้นสู่ระดับ 0.7-0.8% หนุนโดยการปรับตัวขึ้นของราคาสินค้าพลังงาน รวมถึงราคาสินค้าเกษตร (ข้าว ผักและผลไม้) ที่มีแนวโน้มปรับตัวขึ้นตามผลกระทบจากภัยแล้ง
ทั้งนี้ระดับฐานราคาที่สูงในปีก่อนหน้า ทำให้อัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับต่ำกว่ากรอบเป้าหมายของธนาคารแห่งประเทศไทย 1-3% ซึ่งเรามองว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ยังไม่มีความจำเป็นที่ชัดเจน จากเหตุผลด้านเงินเฟ้อในการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ย
แต่เราไม่ปิดโอกาสที่ กนง. อาจตัดสินใจเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยสู่ระดับ 2.50% (เราให้โอกาส 45%) จากความต้องการเพิ่มขีดความสามารถในการดำเนินนโยบายการเงิน หรือ policy space ในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจและตลาดการเงินยังเอื้อต่อการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย
สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่า เงินบาทอาจแกว่งตัว sideway หลังโมเมนตัมการแข็งค่าแผ่วลง ทั้งนี้ ควรจับตาทิศทางฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติว่าจะกลับเข้ามาซื้อสินทรัพย์ไทยต่อเนื่องได้หรือไม่ หลังล่าสุด ทิศทางฟันด์โฟลว์ยังคงผันผวนและไม่แน่นอน
นอกจากนี้ ควรระวังความผันผวนจากฝั่งตลาดการเงินจีน ที่ยังคงเผชิญแรงกดดันจากความกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจจีน ซึ่งอาจกระทบเงินบาทผ่านการอ่อนค่าลงของเงินหยวนจีนได้ อนึ่ง เราประเมินแนวรับแรกของเงินบาทแถวโซน 34.80-35.00 บาทต่อดอลลาร์ ส่วนแนวต้านแรกจะอยู่ในช่วง 35.20-35.30 บาทต่อดอลลาร์
ในส่วนเงินดอลลาร์นั้น เรามองว่า เงินดอลลาร์อาจยังได้แรงหนุนอยู่ หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ไม่ได้สะท้อนภาพเศรษฐกิจชะลอตัวลงชัดเจนและบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดต่างย้ำจุดยืนพร้อมเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อ
เราคงคำแนะนำว่า ในช่วงนี้ ตลาดการเงินยังอยู่ในช่วงเผชิญความผันผวนสูง จากทั้งความไม่แน่นอนของทิศทางนโยบายการเงิน ความกังวลแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน ทำให้เราคงคำแนะนำว่า ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลาย
อาทิ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน และนอกเหนือจากการใช้เครื่องมือดังกล่าว การเลือกทำธุรกรรมในสกุลเงินท้องถิ่น (Local Currency) ก็เป็นอีกแนวทางในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่น่าสนใจ ซึ่งผู้ประกอบการควรเปรียบเทียบต้นทุนในการทำธุรกรรมและแผนการป้องกันความเสี่ยงก่อนตัดสินใจทุกครั้ง
มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 34.75-35.50 บาท/ดอลลาร์
ส่วนกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 35.00-35.20 บาท/ดอลลาร์
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า เงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบที่อ่อนค่ากว่าแนว 35.00 โดยปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 35.09-35.11 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (10.20 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดปลายสัปดาห์ก่อนหน้าที่ 35.00 บาทต่อดอลลาร์ฯ ทั้งนี้เงินบาทอ่อนค่าลง
ขณะที่เงินดอลลาร์ฯ มีแรงหนุนจากข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาทิ ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร และดัชนี ISM ภาคการผลิตเดือนส.ค. ที่ออกมาสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของตลาด โดยตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้น 187,000 ตำแหน่งในเดือนส.ค. ค. (ตลาดคาดที่ 170,000 ตำแหน่ง) ส่วนดัชนี ISM ภาคการผลิตขยับขึ้นมาที่ 47.6 (ตลาดคาดที่ 47.0)
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ คาดไว้ที่ 35.05-35.20 บาทต่อดอลลาร์ฯ โดยปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ สถานการณ์การเมืองในประเทศ ทิศทางเงินทุนต่างชาติและค่าเงินหยวน ขณะที่ตลาดการเงินสหรัฐฯ ปิดทำการในวันนี้เนื่องในวันแรงงาน