ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ ที่ระดับ 35.75 บาทต่อดอลลาร์

21 พ.ย. 2565 | 00:23 น.

เงินบาทยังมีโอกาสผันผวน หากภาพเศรษฐกิจไทย “จีดีพีไตรมาสสามปี2565 ดีกว่าคาด” และแรงขายเงินดอลลาร์ของบรรดาผู้ส่งออกใกล้โซนแนวต้านแถว 36.00 บาทต่อดอลลาร์ อาจช่วยชะลอการอ่อนค่าได้บ้าง

ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ ที่ระดับ  35.75 บาทต่อดอลลาร์“อ่อนค่าลงเล็กน้อย”จากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้า ที่ระดับ 35.73 บาทต่อดอลลาร์ 

 

นายพูน  พานิชพิบูลย์   นักกยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน  ธนาคารกรุงไทยระบุว่าสัปดาห์ที่ผ่านมา ผู้เล่นในตลาดเริ่มระมัดระวังตัวมากขึ้น หลังบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดต่างส่งสัญญาณสนับสนุนการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องของเฟด

 

ในสัปดาห์นี้ เรามองว่า ควรจับตา รายงานการประชุมล่าสุดของเฟด รวมถึง ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด เพื่อประเมินทิศทางนโยบายการเงินของเฟด ส่วนในฝั่งไทย รายงาน GDP ไตรมาสสาม อาจเป็นที่สนใจของผู้เล่นในตลาดการเงิน

 

โดยในส่วนของรายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่น่าสนใจมีดังนี้

 

มุมมองเศรษฐกิจทั่วโลก

 

▪ ฝั่งสหรัฐฯ – ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ผ่านรายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตและภาคการบริการ (S&P Global Manufacturing & Services PMIs) ในเดือนพฤศจิกายน

 

โดยตลาดคาดว่า ดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการอาจปรับตัวลดลงสู่ระดับ 49.9 จุด และ 47.7 จุด (ดัชนี น้อยกว่า 50 จุด หมายถึง ภาวะหดตัว) สะท้อนกิจกรรมทางเศรษฐกิจในภาคการผลิตและภาคการบริการที่ยังคงซบเซาต่อเนื่อง จากผลกระทบของการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของเฟด และภาวะเงินเฟ้อ/ค่าครองชีพสูง รวมถึงภาพการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจโลก

 

ทั้งนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ รายงานการประชุมเฟดล่าสุด (FOMC Meeting Minutes) รวมถึง ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด (ส่วนใหญ่เป็น FOMC Voting Members) ซึ่งผู้เล่นในตลาดจะติดตามอย่างใกล้ชิดเพื่อประเมินแนวโน้มนโยบายการเงินของเฟด

 

หลังจากที่เจ้าหน้าที่เฟดส่วนใหญ่ส่งสัญญาณพร้อมสนับสนุนการขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องของเฟด (ตลาดจะใช้ประเมินระดับดอกเบี้ยสูงสุดของเฟด หรือ Terminal Rate) โดยมีอัตราการขึ้นดอกเบี้ยที่อาจชะลอลงจากช่วงก่อนหน้า

 

▪ ฝั่งยุโรป – ตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจยุโรปผ่านรายงานดัชนี PMI ภาคการผลิตและการบริการในเดือนพฤศจิกายน โดยตลาดมองว่า แนวโน้มเศรษฐกิจยุโรปอาจยังคงซบเซาต่อเนื่อง ท่ามกลางแรงกดดันจากทั้งปัญหาเงินเฟ้อและค่าครองชีพสูง

 

รวมถึงต้นทุนการกู้ยืมที่สูงขึ้นตามอัตราดอกเบี้ยนโยบาย และความไม่แน่นอนของสงครามรัสเซีย-ยูเครน โดยภาพดังกล่าวจะสะท้อนผ่านดัชนี PMI ภาคการผลิตและการบริการของยูโรโซนที่จะปรับตัวลดลงต่อเนื่องสู่ระดับ 46 จุด และ 48.1 จุด ตามลำดับ

 

เช่นเดียวกันกับฝั่งอังกฤษ ดัชนี PMI ภาคการผลิตและการบริการก็อาจปรับตัวลดลงต่อเนื่องสู่ระดับ 45.7 จุด และ 48 จุด  ตามลำดับเช่นกัน ทั้งนี้ บรรดานักวิเคราะห์ต่างประเมินว่าวิกฤตพลังงานที่ไม่ได้น่ากังวลมากนัก จะช่วยหนุนให้ดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจของเยอรมนี (Ifo Business Climate) เดือนพฤศจิกายน ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 85 จุด

 

นอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตารายงานผลการประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) ล่าสุด เพื่อประเมินแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยในอนาคตของ ECB ว่าจะเร่งขึ้น +75bps ต่อเนื่องได้หรือไม่ และ ECB จะขึ้นดอกเบี้ยไปถึงระดับใดในปีหน้า

 

▪ ฝั่งเอเชีย – ตลาดมองว่า ธนาคารกลางเกาหลีใต้ (BOK) จะเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ย +0.25% สู่ระดับ 3.25% เพื่อคุมสถานการณ์เงินเฟ้อที่ยังคงอยู่ในระดับสูงเกือบ 6% และช่วยลดแรงกดดันต่อค่าเงินวอน (KRW)

 

▪ ฝั่งไทย ตลาดคาดว่า เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้นต่อเนื่อง หลังการเปิดประเทศอย่างเต็มที่ในช่วงไตรมาสที่ 3 ซึ่งจะหนุนให้ เศรษฐกิจในไตรมาสที่ 3 ขยายตัวถึง +4.5%y/y เร่งขึ้นจากที่โต +2.5% ในไตรมาสที่ 2 ทำให้เศรษฐกิจไทยจะกลับไปสู่ระดับก่อนวิกฤต COVID-19 ได้ภายในปีนี้ และหนุนการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยนโยบายต่อเนื่องของธนาคารแห่งประเทศไทย

 

ทั้งนี้ การค้าระหว่างประเทศของไทยอาจได้รับผลกระทบจากภาพเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลง โดยยอดการส่งออก (Exports) อาจโตเพียง 5.5%y/y ส่วนยอดการนำเข้า (Imports) ยังโตกว่า +10%y/y ทำให้ดุลการค้า (Trade Balance) ในเดือนตุลาคมอาจกลับมาขาดดุลถึง -1.4 พันล้านดอลลาร์

 

 

สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เราประเมินว่า เงินบาทมีโอกาสผันผวนฝั่งอ่อนค่ามากขึ้น หากตลาดกลับมากังวลแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดอีกครั้ง

 

นอกจากนี้ ควรจับตาแนวโน้มราคาทองคำ (ราคาทองคำย่อตัวลงแรง อาจส่งผลให้มีโฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว ซึ่งเป็นแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าต่อเงินบาท)  รวมถึงควรติดตาม ฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติที่อาจเห็นการขายทำกำไรสินทรัพย์ไทยมากขึ้นจากสัปดาห์ก่อนหน้า

 

อย่างไรก็ดี ภาพเศรษฐกิจไทยที่ฟื้นตัวดีขึ้นต่อเนื่อง (หาก GDP ไตรมาส 3 ดีกว่าคาด) และแรงขายเงินดอลลาร์ของบรรดาผู้ส่งออกใกล้โซนแนวต้านแถว 36.00 บาทต่อดอลลาร์ อาจช่วยชะลอการอ่อนค่าของเงินบาทได้บ้าง

 

ในส่วนเงินดอลลาร์นั้น เรามองว่า ควรระมัดระวังความกังวลเฟดเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง ที่อาจหนุนให้เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นต่อเนื่องได้ ซึ่งต้องรอติดตามรายงานการประชุมเฟดและถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด ทั้งนี้ การแข็งค่าของเงินดอลลาร์อาจมีไม่มากนัก หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจฝั่งยุโรปออกมาดีกว่าคาดและหนุนให้เงินยูโร (EUR) แข็งค่าขึ้นได้

 

เราคงคำแนะนำว่า ในช่วงที่ตลาดการเงินยังมีความผันผวนสูง ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลาย อาทิ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน

 

มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 35.45-36.10 บาท/ดอลลาร์

 

ส่วนกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 35.65-35.85 บาท/ดอลลาร์

 

 ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่เงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 36.00 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.25 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาที่ 35.76 บาทต่อดอลลาร์ฯ เงินบาท สกุลเงินและตลาดหุ้นเอเชียในภาพรวมเผชิญแรงเทขายตามค่าเงินหยวนท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจและมาตรการสกัดการระบาดของโควิดในจีน

 

สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทวันนี้ คาดไว้ที่ 35.80-36.05 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ประกอบด้วย ตัวเลขจีดีพีไตรมาส 3/65 ของไทย และการประกาศอัตราดอกเบี้ย LPR โดยธนาคารกลางจีน ตลอดจนทิศทางฟันด์โฟลว์และสกุลเงินอื่นๆ ในภูมิภาค