นายบวร วงศ์สินอุดม ประธานกรรมการ บริษัท พริมา มารีน จำกัด (มหาชน) หรือ PRM กล่าวกับ "ฐานเศรษฐกิจ"ถึงแนวโน้มธุรกิจในครึ่งปีหลังว่า จากปัจจัยเศรษฐกิจไทยฟื้นตัว หลังผ่านสถานการณ์โควิด-19 ทำให้ความต้องการใช้น้ำมันดิบในประเทศเพิ่มขึ้น รวมถึงการขยายธุรกิจ ช่วยหนุนรายได้ทั้งปีจะเติบโตได้ตามเป้าหมาย 10% จากปีที่แล้วที่มีรายได้จากการดำเนินงาน 5,880 ล้านบาท ขณะที่งวด 6 เดือนปี 2565 บริษัทฯ มีรายได้ 3,178 ล้านบาท กำไรสุทธิ 515 ล้านบาท
รับรู้รายได้เพิ่มในครึ่งปีหลัง
นายบวร กล่าวว่า การเข้าลงทุนซื้อกิจการ บริษัท ทรูธ มารีไทม์ (จำกัด) หรือ TM (เดิมคือ บริษัทไทยออยล์มารีน จำกัด) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของกลุ่มไทยออยล์ เป็นการลงทุนเชิงยุทธศาสตร์ที่สำคัญของ PRM ซึ่งจะขับเคลื่อนการเติบโตในระยะยาว จากการเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์กับกลุ่มไทยออยล์ ที่ให้บริการเรือขนส่งปิโตรเลียมระหว่างประเทศ ด้วยเรือ VLCC ขนาดบรรทุก 300,000 DWT จำนวน 3 ลำ ภายใต้สัญญาระยะยาว 10 ปี อันจะช่วยสร้างความมั่นคงของรายได้ให้แก่บริษัท
นอกจากนี้การเข้าซื้อกิจการครั้งนี้ยังช่วยเพิ่มขีดความสามารถการให้บริการเพื่อรองรับโอกาสทางธุรกิจ จากการรับเรือขนส่งปิโตรเคมีจำนวน 5 ลำ ที่มีความต้องการใช้บริการเพิ่มขึ้นและเรือขนส่งเพื่อการสำรวจและการผลิตน้ำมันกลางทะเล (เรือ Crew Boat) อีก 13 ลำ เพื่อรองรับกิจกรรมทางทะเลที่เพิ่มขึ้น ซึ่งถือเป็นการปรับพอร์ตกองเรือที่ทำให้บริษัทฯ สามารถเอาชนะความท้าทายและมีความแข็งแกร่งในการบริหารความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ทั้งจากปัจจัยภายในประเทศและภายนอกประเทศได้ดียิ่งขึ้น
สร้างเสถียรภาพรายได้
"ธุรกิจ PRM ส่วนใหญ่เป็นสัญญาระยะยาว 5-10 ปี จึงมีรายได้ที่แน่นอนมั่นคง โดยเรือ VLCC เป็นสัญญาระยะยาว 10 ปี และหาก VLCC ให้บริการเต็มปีครบทั้ง 3 ลำ จะทำให้รายได้จากสัญญาระยะยาวจากธุรกิจทั้งหมดสูงกว่า 70%ของรายได้รวม ซึ่งถือเป็นการสร้างรายได้เติบโตอย่างยั่งยืน" นายบวร กล่าวและว่า
การปรับกลยุทธพอร์ตบริหารกองเรือให้สอดคล้องกับสภาวะตลาด จากเดิมที่เน้นธุรกิจเรือคลังน้ำมันลอยน้ำ ( FSU) ซึ่งเคยเป็นจุดแข็งของ PRM แต่เนื่องจากตลาดมีความผันผวนสูง ประกอบกับการขยายตัวของธุรกิจขนส่งน้ำมันที่เติบโตมากขึ้น
ส่งผลโครงสร้างรายได้ธุรกิจบริษัทฯ 6 เดือนแรกปี 2565 มาจากธุรกิจขนส่งน้ำมัน(ในและตปท.) รวมกว่า 54% ขณะที่ธุรกิจ FSU อยู่ที่ 32.9% จากปี 2563 ที่สัดส่วนรายได้มาจาก FSU ถึง 55% และเป็นธุรกิจขนส่งน้ำมันเพียง 37%
ส่วนความกังวลในเรื่อง อัตราแลกเปลี่ยน (FX ) ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว นายบวร ชี้แจงว่า ปัจจุบันบริษัทฯมีเงินกู้แต่ละปีประมาณ 42.6 ล้านเหรียญสหรัฐ แต่มีรายได้รูปดอลลาร์ 50 ล้านเหรียญสหรัฐ บริษัทมีสภาพคล่องรองรับเพียงพอ และมีสัดส่วนหนี้สินต่อทุนต่ำที่ 0.38% จึงไม่ได้รับผลกระทบทั้งจากค่าเงินและอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น
ประธานกรรมการ PRM กล่าวทิ้งท้ายว่า บริษัทฯยังมองหาโอกาสการเติบโต ทั้งจากธุรกิจสนับสนุนการขุดเจาะน้ำมันกลางทะเล ( Offshore Support) เรือขนส่งทางทะเล รวมถึงการลงทุนเรือปิโตรเคมีคอลเพิ่มเพื่อขยายธุรกิจ และเรือ VLCC เพื่อใช้เป็นเรือโรงแรมลอยน้ำ เรากำลังมองตรงนี้ว่าน่าจะมีกิจกรรมมากขึ้น จากปัจจุบันที่บริษัทมีพอร์ตกองเรือ 59 ลำ และมีขนาดทรัพย์สินได้มาในช่วง 6 เดือนแรกราว 4,375 ล้านบาท
หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3,821 หน้า 8 วันที่ 25 - 28 กันยายน 2565