ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 33,336.67 จุด เพิ่มขึ้น 27.16 จุด หรือ +0.08%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,207.27 จุด ลดลง 2.97 จุด หรือ -0.07% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 12,779.91 จุด ลดลง 74.89 จุด หรือ -0.58%
ดัชนีดาวโจนส์ได้แรงหนุน หลังจากที่มีการเปิดเผยดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ของสหรัฐลดลงเกินคาดในเดือนก.ค. ซึ่งทำให้มีการคาดการณ์กันว่า ธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% ในเดือนก.ย. แทนที่จะปรับขึ้นถึง 0.75% ที่คาดการณ์กันไว้ก่อนหน้านี้
กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยในวันพฤหัสบดี (11 ส.ค.) ว่า ดัชนี PPI ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้ผลิต ปรับตัวลง 0.5% ในเดือนก.ค. เมื่อเทียบรายเดือน สวนทางนักวิเคราะห์ที่คาดว่าเพิ่มขึ้น 0.2% หลังจากปรับตัวขึ้น 1.0% ในเดือนมิ.ย.
ทั้งนี้ การปรับตัวลงของดัชนี PPI ในเดือนก.ค. ถือเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนเม.ย.2563 ซึ่งเป็นช่วงเริ่มต้นของการแพร่ระบาดของโควิด-19
ดัชนี S&P500 และดัชนี Nasdaq ถูกกดดันจากการคาดการณ์ที่ว่า เฟดจะเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไปจนกว่าแรงกดดันด้านเงินเฟ้อจะหมดไป
ล่าสุด FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 65.5% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% สู่ระดับ 2.75-3.00% ในการประชุมวันที่ 20-21 ก.ย. และให้น้ำหนักเพียง 34.5% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75%
นอกจากนี้ การเปิดเผยข้อมูลตลาดแรงงานที่อ่อนแอซึ่งทำให้นักลงทุนไม่มั่นใจเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจนั้นถ่วงดัชนี Nasdaq ลงด้วย โดยกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกเพิ่มขึ้นเป็นสัปดาห์ที่ 2 ติดต่อกัน โดยเพิ่มขึ้น 14,000 ราย สู่ระดับ 262,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว
ทั้งนี้ หุ้น 6 ใน 11 กลุ่มของดัชนี S&P500 ปรับตัวลงซึ่งนำโดยกลุ่มเฮลท์แคร์ ขณะที่กลุ่มพลังงานพุ่งขึ้นมากที่สุด 3.2%
หุ้นกลุ่มธนาคารปรับตัวขึ้นด้วย ส่วนหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีปรับตัวลง