นายพชร อนันตศิลป์ อธิบดีกรมศุลกากร เปิดเผยว่า นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคลัง ได้สั่งการให้กรมศุลกากรเร่งศึกษาแนวทางลดผลกระทบต่อเอสเอ็มอีไทยจากกรณีที่กรมศุลกากรยกเว้นการจัดเก็บภาษีนำเข้าและภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% ให้กับสินค้าที่มีการส่งพัสดุทางไปรษณีย์จากต่างประเทศ ที่มีราคาไม่เกินชิ้นละ 1,500 บาท เพื่อสร้างความเป็นธรรมในการแข่งขันให้กับเอสเอ็มอี ผู้ผลิตสินค้าในประเทศกับสินค้าที่นำเข้าจากต่างประเทศ เพราะที่ผ่านมาสินค้าที่ผลิตจากเอสเอ็มอีไทยจะเสียภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นอัตโนมัติ แต่สินค้าที่สั่งนำเข้ามาทางไปรษณีย์จากต่างประเทศหากราคาไม่ถึงเกณฑ์ก็ได้รับการยกเว้นภาษีทั้งหมด
นอกจากนี้ที่ผ่านมาพบว่า ผู้ซื้อมักอาศัยช่องโหว่จากการยกเว้นเก็บภาษีสินค้าที่มีราคาต่ำกว่า 1,500 บาทมาใช้หลบเลี่ยงภาษี ด้วยการสำแดงสินค้าที่เป็นเท็จ หรือสำแดงราคาไม่ถึงชิ้นละ 1,500 บาท เช่น สั่งซื้อกระเป๋าแบรนด์เนมมาใบละหลายหมื่นบาท แต่สำแดงราคาแค่ 1,000 บาทเพื่อจะได้รับการยกเว้นภาษี เป็นต้น
ดังนั้นกรมศุลกากรกำลังศึกษาว่ามีช่องทางใดที่ทำได้บ้าง ในการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มกับสินค้าที่มีการส่งทางพัสดุมาจากต่างประเทศ เพื่อให้เกิดความเท่าเทียมกัน แต่ต้องไม่ให้เกิดข้อพิพาทระหว่างประเทศ โดยเบื้องต้นอาจใช้มาตรการที่ไม่ใช่ภาษี หรือใช้กฎหมายภายในประเทศ เช่น กฎหมายกรมสรรพากร หรือกฎหมายสรรสามิตมาใช้
“เรื่องนี้ถือเป็นประเด็นอ่อนไหวดังนั้นจึงต้องศึกษาอย่างละเอียดก่อนจะดำเนินการ แต่ถ้าทำได้จะช่วยเหลือเอสเอ็มอีไทยได้มาก ขณะเดียวกันก็ต้องไม่ให้กระทบกับข้อตกลงระหว่างประเทศ” อธิบดีกรมศุลกากร กล่าว
ทั้งนี้ ปัจจุบันมีจำนวนพัสดุที่มีการสั่งเข้ามาจากต่างประเทศอยู่ที่ประมาณ 35 ล้านกล่องต่อปี คิดเป็นมูลค่าประมาณ 20,000 ล้านบาท โดยในจำนวนนี้มีประมาณ 24 ล้านกล่อง ที่มีมูลค่าสินค้าต่ำกว่า 1500 บาท ซึ่งหากมีการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม จะทำให้รัฐบาลมีรายได้เพิ่มประมาณ 700 ล้านบาท ซึ่งถือว่าไม่มากเมื่อเทียบกับกับรายได้ของกรมฯ ต่อปีที่เกือบ 1 แสนล้านบาท แต่ประเด็นสำคัญคือเป็นการช่วยเพิ่มความเท่าเทียมในการแข่งขันให้กับเอสเอ็มอีไทย