ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสปรับตัวลง “ติดลบ” เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ในช่วงคืนวันที่ 20 เม.ย.ที่ผ่านมา หลังนักลงทุนเทขายสัญญาซื้อขายน้ำมันส่งมอบเดือนพ.ค.ที่สิ้นสุดในวันที่ 21 เม.ย.2563 ขณะที่ดีมานด์การใช้น้ำมันในระยะข้างหน้ายังมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง จากผลกระทบของสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 กดดันราคาน้ำมันดิบในตลาดต่างๆ ทั่วโลกให้ปรับลดลง และส่งผลกระทบไปถึงผลตอบแทน"กองทุนรวม" ที่ลงทุนใน “น้ำมัน”
นางสาวชญานี จึงมานนท์ นักวิเคราะห์กองทุน ประจำประเทศไทย บริษัท มอร์นิ่งสตาร์ รีเสิร์ซ (ประเทศไทย) กล่าวถึง ผลตอบแทนของ “กองทุนน้ำมัน” โดยเฉลี่ยในปีนี้ติดลบแล้ว 50% ซึ่งเป็นไปทิศทางเดียวกับราคาน้ำมันดิบตลาดโลกที่ปรับลงต่อเนื่อง โดยเป็นผลจาก “ดีมานด์” ที่ลดลงจากผลกระทบของไวรัส“โควิด-19” ทำให้ความต้องการใช้น้ำมันทั่วโลกลดลง
นอกจากนี้ ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา มูลค่าสินทรัพย์สิน (AUM) กองทุนน้ำมันลดลงต่อเนื่องเช่นกัน ปัจจุบันกองทุนน้ำมัน มีทั้งหมด 9 กองทุน ณ 31 มี.ค. 2563 มูลค่าสินทรัพย์ 3,001 ล้านบาท เมื่อเทียบกับ ณ 30 เม.ย.2558 อยู่ที่ 7,257 ล้านบาท หรือลดลงเฉลี่ย 5% ต่อปี โดยการลงทุนในกองทุนน้ำมัน ถือเป็นทรัพย์สินทางเลือกที่มีความเสี่ยงสูงมาก อยู่ระดับ 8 จึงไม่เหมาะกับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำ
ทั้งนี้ผลตอบแทนจากการลงทุน "9 กองทุนน้ำมัน" ช่วง 1 ปี เฉลี่ยดังนี้
1.K Oil มีมูลค่าสินทรัพย์ 1,549 ล้านบาท ผลตอบแทนเฉลี่ย 1 ปี ลดลง 44%
2.SCB Oil มูลค่าสินทรัพย์ 449 ล้านบาท ผลตอบแทนเฉลี่ย 1 ปี ลดลง 43%
3.TMB Oil มูลค่าสินทรัพย์ 390 ล้านบาท ผลตอบแทนเฉลี่ย 1 ปีลดลง 42%
4.KRUNGSRI Oil มูลค่าสินทรัพย์ 274 ล้านบาท ผลตอบแทนเฉลี่ย 1 ปีลดลง 42%
5.KTAM Oil มูลค่าสินทรัพย์ 271 ล้านบาท ผลตอบแทนเฉลี่ย 1 ปีลดลง 42%
6.TISCO US Oil มูลค่าสินทรัพย์ 26 ล้านบาท ผลตอบแทนเฉลี่ย 1 ปีลดลง 68%
7.TISCO Oil มูลค่าสินทรัพย์ 25 ล้านบาท ผลตอบแทนเฉลี่ย 1 ปีลดลง 44%
8 MFC Oil มูลค่าสินทรัพย์ 11 ล้านบาท ผลตอบแทนเฉลี่ย 1 ปี ลดลง 66%
9.ASSET Plus Oil มูลค่าสินทรัพย์ 5 ล้านบาท ผลตอบแทนเฉลี่ย 1 ปีลดลง 42%
ด้านนายนาวิน อินทรสมบัติ รองกรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการลงทุนต่างประเทศ บลจ.กสิกรไทย กล่าวว่า กองทุนน้ำมันในอุตสาหกรรมเกือบทั้งหมดรวมทั้งกองทุนเคออยล์ ฟันด์ไม่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าว เนื่องจากกองทุนหลักเข้าลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันดิบ WTI คนละตัวกัน คือ กำหนดส่งมอบในเดือนมี.ค.2564
สำหรับกองทุน เค ออยล์ มีนโยบายการลงทุนในกองทุนหลัก Invesco DB Oil Fund ซึ่งเป็น ETF ที่ซื้อขายอยู่ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ (Feeder fund) ที่แนวทางการบริหารของกองทุนหลัก เข้าลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันดิบ WTI และพิจารณาว่าควรลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้าอายุเท่าไหร่เพื่อให้ผลตอบแทนและความผันผวนอยู่ในระดับที่เหมาะสมสะท้อน Demand/Supply ในตลาด ดังนั้น ปัจจุบันกองทุนหลักลงทุนใน สัญญาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันดิบ WTI อายุประมาณ 1 ปี คือ ส่งมอบมี.ค.2564
ขณะที่ผลตอบแทนกองทุน เค ออยล์ ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ณ 19 เม.ย. 63 ยังบวกอยู่ 2% เนื่องจากคาดว่าสมดุลระหว่างความต้องการและการผลิตน้ำมันในช่วงครึ่งปีหลังจะดีขึ้น
"บลจ.ยังคงคำแนะนำ “ไม่เข้าลงทุน” เนื่องจากเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีความซับซ้อน ผลตอบแทนไม่ได้เคลื่อนไหวตามราคาน้ำมัน อีกทั้งยังมีความผันผวนสูงมากเมื่อเทียบกับการลงทุนในสินทรัพย์อื่นๆ"
เช่นเดียวกับนายณัฏฐะ มหัธนา ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนและลูกค้าสัมพันธ์ บลจ.กรุงไทย กล่าวว่า ประเมินความเสี่ยงจากการลงทุนในกองทุนดังกล่าวยังมีความเสี่ยงขาลง ผู้ลงทุนต้องเข้าใจทั้งมีมุมมองเรื่องน้ำมัน และนโยบายการลงทุนของกองทุน จึงแนะนำให้ไปลงทุนอย่างอื่นดีกว่า เช่น หุ้นพลังงานทั้งในและต่างประเทศ หรือกองทุนหุ้นพลังงาน ที่ยังน่าสนใจและสามารถวิเคราะห์การลงทุนระยะยาวได้มากกว่ากองทุนน้ำมัน