นายพอล ชาลีส์ เคนนี่ กรรมการบริษัท ไมเนอร์อินเตอรเนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) (MINT) แจ้งว่าบริษัท Primacy Investment Limited บริษัทย่อยซึ่งถือหุ้นร้อยละ 100 โดยบริษัทเดอะ ไมเนอร์ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) และบริษัท ไมเนอร์ฟ้ดู โฮลดิ้ง จำกัด บริษัทย่อยที่ถือหุ้นร้อยละ 99.73 โดย MINT ได้เข้าลงทุนซื้อหุ้นในบริษัท Spoonful Pte. Ltd. (“Spoonful”) และในบริษัท สพูนฟูล (ประเทศไทย) จำกัด (“Spoonful TH”) โดยซื้อจากผู้ถือหุ้นเดิมคือ Manhattan (Mauritius) Limited ทั้ง 2 บริษัทดำเนินธุรกิจร้านอาหาร ใช้เงินลงทุนรวม 2,483 ล้านบาท แหล่งเงินมาจากการกู้ยืมธนาคาร
วัตถุประสงค์ของการลงทุน เพื่อเป็นเจ้าของแฟรนไชสร้านอาหาร Bonchon ในประเทศไทย เป็นเจ้าของและดำเนินกิจการร้านอาหาร Bonchon ร้านใหม่หรือสาขาใหม่ในประเทศไทย ส่วนประโยชนที่จะได้รับ เพื่อสร้างความแข็งแกร่งและกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจของบริษัท และเพื่อผลตอบแทนทางการเงินจากเงินปันผลและส่วนเกินมูลค่าหุ้นในอนาคต
นายพอล กล่าวเพิ่มเติมว่า การเข้าลงทุนในครั้งนี้เป็นการเน้นย้ำถึงความเชื่อมั่นของ MINT ในศักยภาพการเติบโตของตลาดไก่ทอด และคอนเซปต์แบรนด์ที่เป็นเอกลักษณ์ของบอนชอน อีกทั้งเป็นการลงทุนเชิงกลยุทธ์ที่เหมาะสมสำหรับ MINT ด้วยแบรนด์บอนชอนที่แข็งแกร่งระดับโลก ผลการดำเนินงานที่เป็นเลิศ และศักยภาพที่สูงในการขยายสาขา นอกจากนี้ บอนชอนจะใช้ประโยชน์จากจุดแข็งของ MINT เพื่อดำเนินการตามแผนกลยุทธ์ที่มีอยู่และในอนาคต เพื่อให้มั่นใจว่าจะสามารถสร้างผลตอบแทนที่แข็งแกร่งและยั่งยืนต่อไป
MINT เชื่อมั่นว่าบอนชอนจะประสบความสำเร็จต่อไปในอนาคต และมีเป้าหมายที่จะขยายสาขามากกว่า 150 แห่งทั่วประเทศไทยภายในสิ้นปี 2567 (มีการเติบโตของจำนวนร้านอาหารเฉลี่ยต่อปีใน 5 ปีมากกว่าร้อยละ 25) ทั้งนี้ ด้วยการใช้ประโยชน์จากร้านอาหารและแพลตฟอร์มบริการจัดส่งอาหารของ MINT บอนชอนจึงมีโอกาสในการขยายสาขาอีกมาก ไม่ว่าจะเป็นในด้านภูมิศาสตร์ ช่องทาง หรือประเภทของร้าน โดยในกรุงเทพฯ นอกเหนือจากสาขาที่มีอยู่เดิมในศูนย์การค้า บอนชอนยังสามารถขยายสาขาไปยังพื้นที่ค้าปลีกประเภทอื่นๆ อีกทั้งสาขาเพื่อการบริการจัดส่งอาหาร เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับแนวโน้มการบริการจัดส่งอาหารที่เติบโตอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ บอนชอนจะเปิดสาขาในเมืองสำคัญในต่างจังหวัดของประเทศไทย ด้วยปัจจุบันบอนชอนมีร้านอาหารเพียง 2 สาขานอกกรุงเทพฯ
บอนชอนจะเติบโตอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้นด้วยประโยชน์จากการดำเนินงานร่วมกันกับ MINT ซึ่งรวมถึงการใช้ประโยชน์จากแพลตฟอร์มบริการจัดส่งอาหารที่แข็งแกร่งของ MINT เช่น แอปพลิเคชั่นสำหรับบริการจัดส่งอาหารและพนักงานจัดส่งอาหาร นอกจากนี้ ด้วยฐานการดำเนินงานด้านการจัดซื้อจัดจ้างของ MINT จะช่วยให้บอนชอนสามารถใช้ประโยชน์จากการจัดหาวัตถุดิบส่วนกลาง ทั้งเพื่อราคาที่มีประสิทธิภาพ และเพื่อความมั่นใจในคุณภาพและการจัดหาวัตถุดิบ อีกทั้ง บอนชอนจะสามารถพัฒนาประสิทธิภาพในการดำเนินงานผ่านการตลาดและการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ของ MINT
ทั้งนี้ ยอดขายต่อร้านเดิม (Same-Store-Sales) ของบอนชอนยังคงแข็งแกร่งในช่วงสองเดือนแรกของปี 2563 ท่ามกลางสถานการณ์ COVID-19 โดยมีสาเหตุมาจากยอดขายจากช่องทางบริการจัดส่งอาหารที่แข็งแกร่ง ทั้งนี้ ด้วยความสามารถในการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพกว่าอุตสาหกรรม ซึ่งรวมถึง อัตรากำไรขั้นต้นและอัตราการทำกำไรก่อนหักดอกเบี้ยจ่าย ภาษี และค่าเสื่อม (EBITDA margin) จะช่วยให้บอนชอนสามารถรับมือกับความสามารถในการทำกำไรที่อาจจะลดลงอันเนื่องมาจากสภาพแวดล้อมการดำเนินงานที่ท้าทายดังกล่าว
“การลงทุนในสิทธิแฟรนไชส์หลักของแบรนด์บอนชอนในประเทศไทยครั้งนี้เป็นการเน้นย้ำถึงกลยุทธ์ของบริษัทในการเพิ่มแบรนด์ในเครือร้านอาหาร และเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจร้านอาหารในประเทศไทย และด้วยการดำเนินงานในประเทศไทยมาเกือบ 10 ปี บอนชอนได้นำมาซึ่งฐานลูกค้าที่เป็นกลุ่มคนไทยรุ่นใหม่ (กลุ่ม Millennials และ Generation Z) ซึ่งมีความภักดีสูงที่บริษัทจะสามารถจะต่อยอดได้” เขากล่าวเพิ่มเติมว่า “MINT จะยกระดับบอนชอนโดยใช้ประโยชน์จากโครงสร้างการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง ระบบการดำเนินงานที่เป็นเลิศ การบริหารด้านการจัดซื้อจัดจ้าง และเครือข่ายการขายและการตลาดของเรา” นายพอล เคนนี่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารไมเนอร์ ฟู้ด กล่าว
สำหรับบริษัท Spoonful Pte. Ltd.มีทุนจดทะเบียน 105,000 เหรียญดอลลาร์สหรัฐฯแบ่งออกเป็น 21,000 หุ้น ราคาที่ตราไว้หุ้นละ 5 เหรียญดอลลาร์สหรัฐ โครงสร้างผู้ถือหุ้นภายหลังการซื้อขายหุ้นแล้ว ประกอบด้วย Primacy Investment Limited ถือหุ้นร้อยละ 70 และ Manhattan (Mauritius) Limited ถือร้อยละ 30 จากเดิมที่ Manhattan (Mauritius) Limited ถือร้อยละ 100
ส่วนบริษัทสพูนฟูล (ประเทศไทย) จำกัด ทุนจดทะเบียน 5 ล้านบาท แบ่งออกเป็น 50,000 หุ้น ราคาที่ตราไว้หุ้นละ 100 บาท โครงสร้างผู้ถือหุ้นใหม่หลังการซื้อขายหุ้นแล้ว ประกอบด้วย บริษัท ไมเนอร์ฟ้ดู โฮลดิ้ง จำกัด ถือร้อยละ 51.1, Manhattan (Mauritius) Limited ร้อยละ 21.9 และ Spoonful Pte. Ltd. ร้อยละ 27.0 จากเดิมที่ Manhattan (Mauritius) Limited ถือร้อยละ 73 และ Spoonful Pte. Ltd. ถือร้อยละ 27
อนึ่งบริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) (MINT) เป็นผู้นำในการดำเนินธุรกิจระดับสากล โดยประกอบ 3 ธุรกิจหลัก ได้แก่ ธุรกิจโรงแรม ธุรกิจร้านอาหาร และธุรกิจจัดจำหน่ายสินค้าไลฟ์สไตล์ MINT ดำเนินธุรกิจโรงแรมทั้งในรูปแบบเป็นเจ้าของเอง บริหารจัดการ และร่วมลงทุน โดยมีโรงแรมและเซอร์วิส สวีท ทั้งสิ้น 535 แห่ง ภายใต้แบรนด์ อนันตรา, อวานี, โอ๊คส์, ทิโวลี, เอ็นเอช คอลเลคชั่น, เอ็นเอช โฮเทลส์, นาว, เอเลวาน่า, แมริออท, โฟร์ซีซั่นส์, เซ็นต์ รีจิส, เรดิสัน บลู และโรงแรมในกลุ่มไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล ใน 57 ประเทศในเอเชียแปซิฟิก ตะวันออกกลาง แอฟริกา คาบสมุทรอินเดีย ยุโรป อเมริกาใต้ และอเมริกาเหนือ
นอกจากนี้ MINT เป็นผู้นำในธุรกิจร้านอาหาร ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชีย โดยมีร้านอาหารกว่า 2,300 สาขา ใน 26 ประเทศ ภายใต้แบรนด์ เดอะ พิซซ่า คอมปะนี, เดอะ คอฟฟี่ คลับ, ริเวอร์ไซด์, เบนิฮานา, ไทย เอ็กซ์เพรส, บอนชอน, สเวนเซ่นส์, ซิซซ์เลอร์, แดรี่ ควีน และเบอร์เกอร์ คิง อีกทั้งยังเป็นผู้นำด้านการจัดจำหน่ายสินค้าไลฟ์สไตล์และรับจ้างผลิต ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทย ภายใตแบรนด์ อเนลโล่, โบเดิ้ม, บอสสินี่, บรูคส์ บราเธอร์ส, ชาร์ล แอนด์ คีธ, เอสปรี, เอแตม, โจเซฟ โจเซฟ, โอวีเอส, แรทลีย์, สโกมาดิ, สวิลลิ่ง เจ. เอ. เฮ็งเคิลส์ และไมเนอร์ สมาร์ท คิดส์