การระบาดของไวรัสโคโรนาหรือ โควิด-19 เข้ามาเป็นความท้าทายในหลายๆธุรกิจ ซึ่งรวมถึงธุรกิจประกันชีวิตด้วย “นุสรา (อัสสกุล)บัญญัติปิยพจน์” นายกสมาคมประกันชีวิตไทยระบุว่า ธุรกิจประกันชีวิตปี 2563 มีแนวโน้มทรงตัวหรือไม่เติบโตจากปีก่อน โดยคาดว่าทั้งปี 2563 จะมีเบี้ยประกันภัยรับรวม 6.1 แสนล้านบาท ซึ่งมาจากเบี้ยประกันชีวิตปีแรก 1.19 แสนล้านบาท เบี้ยประกันชีวิตแบบชำระครั้งเดียวที่ 6.6-6.9 หมื่นล้านบาท และเบี้ยประกันชีวิตปีต่ออายุที่ 4.2-4.28 แสนล้านบาท โดยเบี้ยรวมทั้งปีคาดว่าจะติดลบ 2% ถึงเติบโต 1%
“เป้าหมายของสมาคมต้องดูแลสมาชิก แม้วันนี้ธุรกิจประกันชีวิตจะแข็งแกร่ง แต่เรากำลังทำไปอีกตลอดชีวิตของลูกค้า ดังนั้นธุรกิจประกันชีวิต จึงต้องพอมีกำไรเพื่อที่จะอยู่ได้ ขณะเดียวกันเราทำงานร่วมกับภาครัฐเพื่อจะดูแลประชาชน โดยเฉพาะการเสนอกรมธรรม์พื้นฐาน สำหรับประชาชนที่ได้ลงทะเบียนจำนวน 14 ล้านคน”
อย่างไรก็ตาม ปีนี้ธุรกิจประกันชีวิตยังต้องเผชิญกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับตํ่ามาก แนวทางกำกับความมั่นคงทางการเงินในธุรกิจประกัน โดยเฉพาะมาตรฐานรายงานทางการเงิน IFRS17 ซึ่งจะมีผลมาก บริษัทประกันชีวิตจะต้องระมัดระวัง ความสามารถในการทำกำไร ในสินค้าที่เสนอขาย โดยสินค้าที่เคยขายในอดีตและคิดว่ามีกำไร แต่ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยที่ปรับลด อาจทำให้บริษัทขาดทุน ซึ่งในหลักการมาตรฐานบัญชี IFRS17 จะต้องบันทึกผลขาดทุนทั้งจำนวน และตลอดสัญญากรมธรรม์ ในทางตรงกันข้าม กรมธรรม์ที่มีกำไรและยังมีความคุ้มครองจะต้องกระจายการรับรู้กำไรไปตลอดสัญญา
“มาตรฐาน IFRS17 นั้น ปัจจุบันยังมีประเด็นเรื่องการเสียภาษี เพราะมาตรฐานบัญชีดังกล่าวจะมีเฉพาะ ‘กำไรจากการรับประกันชีวิต’ โดยไม่มีคำว่า ‘เบี้ยประกัน’ ซึ่งเดิมหลักการเสียภาษีระบุเป็น ‘เบี้ยประกัน’ ดังนั้นสมาคมร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) กรมสรรพากรเพื่อหาข้อสรุปการเสียภาษีและกำหนดกรอบเวลาในการบังคับใช้ โดยที่ผ่านมาทางสมาคมประกันชีวิตไทย ได้ทำหนังสือขอเลื่อนการใช้บังคับมาตรฐานบัญชีดังกล่าวออกไป 3 ปี แต่ยังไม่ได้รับอนุมัติจากทางสภาวิชาชีพบัญชีแต่อย่างใด”
ขณะที่ความท้าทายและโอกาสที่เป็นปัจจัยเสริมช่วยธุรกิจประกัน เช่น การลงทุนประกอบธุรกิจอื่น โดยเพิ่มเพดานการลงทุนจากเดิม 15% เป็น 30% ซึ่งในแง่การปรับตัวในมุมมองของสินค้า เมื่อเห็นทิศทางดอกเบี้ยตํ่า บริษัทประกันชีวิตต้องเปลี่ยนและเน้นขายสินค้าที่เป็นความคุ้มครอง ที่ส่วนใหญ่ทุนประกันสูง แต่เบี้ยจะถูกกว่าประกันออมทรัพย์ ทุกคนจะหันไปเน้นขายสัญญาเพิ่มเติม เช่น ประกันสุขภาพและประกันอุบัติเหตุ ซึ่งข้อดีประชาชนตระหนักถึงค่ารักษาพยาบาลที่แพงขึ้นทุกปี สัญญาเพิ่มเติมที่มีการชดเชยรายได้รายวัน หรือประกันบำนาญ และการประกันชีวิตระยะยาว
หน้า 14 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 40 ฉบับที่ 3,551 วันที่ 23-26 กุมภาพันธ์ 2563