จับตาหุ้น BAM เทรดวันแรก

16 ธ.ค. 2562 | 00:15 น.
อัปเดตล่าสุด :08 เม.ย. 2564 | 18:31 น.

จับตาการเข้าซื้อขายวันแรกบนกระดานหลักทรัพย์ของ บมจ. บริหารสินทรัพย์กรุงเทพพาณิชย์ หรือ BAM  วันนี้ (16 ธ.ค.) จะยืนเหนือราคาจองได้หรือไม่   

 

บริษัทบริหารสินทรัพย์กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)  (บสก.) หรือ BAM จัดตั้งขึ้นในปี 2542 ภายใต้พระราชกำหนดบริษัทบริหารสินทรัพย์ พ.ศ. 2541 เพื่อบริหารจัดการสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ (NPLs) และทรัพย์สินรอการขาย (NPAs) ของธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชย์การ จำกัด (มหาชน) (BBC) ซึ่งเป็นผลจากวิกฤตการณ์ทางการเงินปี 2540 และขยายขอบเขตการดำเนินธุรกิจให้ครอบคลุมการบริหารจัดการ NPLs และ NPAs ที่ได้มาจากสถาบันการเงินอื่น ด้วยประสบการณ์ที่ยาวนานกว่า 20 ปี ทำให้ BAM เป็นบริษัทบริหารสินทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุด และมีเครือข่ายมากที่สุดครอบคลุมทุกภูมิภาคทั่วประเทศ

BAM มีทุนชำระแล้ว 15,075 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 5.00 บาท โดยเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนเป็นครั้งแรก จำนวนรวม 1,765 ล้านหุ้น คิดเป็น 54.4% ของจำนวนหุ้นที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัท  ประกอบด้วยหุ้นสามัญเดิมของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน  1,255 ล้านหุ้น หุ้นสามัญเพิ่มทุน 280 ล้านหุ้น และจัดสรรหุ้นส่วนเกิน (Greenshoe ) จำนวน 230 ล้านหุ้น โดยเสนอขายต่อบุคคลทั่วไป ในวันที่ 25-29 พฤศจิกายน 2562 และผู้ลงทุนสถาบัน ในวันที่ 3-4 และ 6 ธันวาคม 2562 ในราคาหุ้นละ 17.50 บาท 

โดยหากไม่รวมการจัดสรรหุ้นส่วนเกินจำนวน 230 ล้านหุ้น คิดเป็นมูลค่าเสนอขาย 26,862.50 ล้านบาท โดยมีมูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 52,762.50 ล้านบาท และมีบริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) และบริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่าย

 

สำหรับการกำหนดราคาเสนอขายหุ้น IPO มาจากวิธีการสำรวจปริมาณความต้องการซื้อหุ้นสามัญของผู้ลงทุนสถาบันในแต่ละระดับราคา (Book building) คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อมูลค่าตามบัญชีต่อหุ้น (P/BV) ที่ 1.73 เท่า (อัตราส่วนดังกล่าวคำนวณภายหลังการจ่ายปันผลระหว่างกาลจากงบการเงินงวด 9 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย. 62) ทั้งนี้ BAM มีนโยบายการจ่ายเงินปันผล ในอัตราไม่น้อยกว่าร้อยละ 40 ของกำไรสุทธิหลังหักภาษีเงินได้ตามงบการเงินเฉพาะกิจการ และภายหลังการจัดสรรทุนสำรองตามกฎหมาย

การนำ BAM เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อเสริมศักยภาพทางการเงินในการขยายธุรกิจโดยซื้อ NPLs และ NPAs มาบริหารในอนาคต และชำระคืนเงินกู้จากสถาบันการเงิน และ/หรือชำระหุ้นกู้ที่ออกโดยบริษัท และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน รวมถึงการปรับเปลี่ยนรูปแบบการบริหารงานให้เทียบเท่าบริษัทเอกชน ซึ่งจะช่วยเพิ่มความคล่องตัวในการประกอบธุรกิจและความสามารถในการแข่งขัน และสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ เพื่อให้ BAM คงความเป็นผู้นำในธุรกิจบริหารสินทรัพย์ และเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน เพื่อสร้างผลตอบแทนระยะยาวให้แก่ผู้ถือหุ้น รวมทั้งเป็นกลไกสำคัญในการสร้างความมั่นคงให้กับเศรษฐกิจของประเทศ

โครงสร้างผู้ถือหุ้นใหญ่ 3 ลำดับแรกของบริษัทภายหลังไอพีโอ จะประกอบด้วย 1) กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ถือหุ้น 41.46% 2) บริษัทหลักทรัพย์ ยูบีเอส (ประเทศไทย) จำกัด (ผู้จัดจำหน่ายหุ้นในต่างประเทศ) 10.69% และ 3) กองทุนเปิด บัวหลวงหุ้นระยะยาว 1.53% 

อย่างไรก็ดี 2 ปัจจัยหลัก ๆที่ช่วยการันตีให้แก่ผู้เข้าซื้อหุ้น BAM  นั่นก็คือ การจัดสรรหุ้นส่วนหรือกรีนชู ไม่เกิน 230 ล้านหุ้น โดยกรีนชูจะทำหน้าที่เข้ามาซื้อหุ้น หากราคาหุ้นลงมาที่ระดับ 17.50 บาท โดยกรีนชู จะมีอายุ 30 วัน ตลอดจนการออกมายืนยันการถือครองหุ้นใหญ่ของกองทุนฟื้นฟูฯ ที่ล่าสุด นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และในฐานะประธานกองทุนฟื้นฟูฯ ออกมายืนยันภายหลังจากมีการเสนอขายไอพีโอ บริษัทจะได้เงินจำนวน 3.2 หมื่นล้านบาท (รวมส่วนของกรีนชูแล้ว ) ซึ่งจะช่วยลดภาระหนี้ของกองทุนฟื้นฟู ฯ เหลืออยู่ที่ 7.71 แสนล้านบาท  จากยอดหนี้ทีรับมาดำเนินการ ณ วันที่ 27 มกราคม 2555 อยู่ที่ 1.14 ล้านล้านบาท  โดยปัจจุบันยอดหนี้คงค้าง ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายน 2562 อยู่ที่ 8.3 แสนล้านบาท

โดยกองทุนฟื้นฟูฯ ยืนยันว่าจะเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ BAM  และมีนโยบายถือหุ้นในสัดส่วนอยู่ที่ 45.6-49.1% แม้ว่าจะผ่านช่วงตามข้อจำกัดห้ามขาย (Silent Period) ถือหุ้นทั้งหมดดังกล่าวต่อไปไม่ต่ำกว่าระยะเวลา 1 ปี 6 เดือน โดยจะยังคงเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่สุดของ BAM และยังไม่มีนโยบายที่จะขายหุ้น BAM เพิ่มเติม