EXIM BANK ลุยขยายพอร์ตเอสเอ็มอีหนึ่งเท่า คาดปี 69 ส่งออกโตสูงสุด 2%

17 ธ.ค. 2568 | 07:39 น.
อัปเดตล่าสุด :17 ธ.ค. 2568 | 07:43 น.

EXIM BANK ลุยขยายพอร์ตเอสเอ็มอีหนึ่งเท่า หรือเพิ่มเป็น 4 พันราย คาดปี 69 ส่งออกไทยโตสูงสุด 2% จากปีนี้คาดโตไม่ต่ำ 10% เหตุสงครามการค้า ภาษีทรัมป์ บาทผันผวน

นายชลัช รัตนบุญนิธิ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เปิดเผยว่า ปี 2568 เป็นอีกปีที่การส่งออกกลับมาเติบโตในระดับสูงและเป็นหนึ่งในเครื่องยนต์หลักขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย โดยคาดว่าการส่งออกทั้งปีจะขยายตัวได้ไม่ต่ำกว่า 10%

ส่วนในปี 2569 การส่งออกจะขยายตัว 0-2% เนื่องจากต้องเผชิญแรงกดดันรอบด้าน ทั้งฐานการส่งออกสูง สงครามการค้า ภาษีศุลกากรตอบโต้ของสหรัฐ ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ และความผันผวนของค่าเงินบาทซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อกำไรของผู้ส่งออก

สำหรับการส่งออกไทยยังเผชิญความท้าทายสำคัญที่ถือเป็นโจทย์ใหญ่ที่ต้องเร่งแก้ไข โดยเฉพาะเรื่องความไม่สมดุลระหว่างจำนวนผู้ส่งออก กับมูลค่าส่งออก

จากจำนวนผู้ส่งออกเอสเอ็มอีไทยที่แม้มีสัดส่วนสูงถึงเกือบ 80% ของผู้ส่งออกทั้งหมด แต่กลับสร้างมูลค่าส่งออกได้เพียง 10% ของมูลค่าส่งออกรวม ขณะที่ผู้ส่งออกรายใหญ่ที่มีอยู่ราว 20% กลับครองสัดส่วนมูลค่าส่งออกกว่า 90%

นอกจากนี้ ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา จำนวนผู้ส่งออกของไทยแทบไม่เติบโต โดยคงระดับอยู่ที่ประมาณ 27,000 ราย แบ่งเป็น รายใหญ่ประมาณ 6,000 ราย และเอสเอ็มอีประมาณ 22,000 ราย ซึ่งในจำนวนเอสเอ็มอีนั้น เป็นลูกค้าของธนาคารเพียง 2,000 รายเท่านั้น

ทั้งนี้ จึงวางเป้าหมายว่า ในปี 2569 ธนาคารจะขยายพอร์ตลูกค้ากลุ่มนี้ให้เพิ่มขึ้น 100% หรือเพิ่มขึ้นหนึ่งเท่าตัว หรือเพิ่มเป็น 4,000 ราย

“เป้าหมายสำคัญของ EXIM BANK ในปีหน้าคือการเพิ่มจำนวนผู้เล่นในตลาดส่งออก เราตั้งเป้าขยายฐานลูกค้าผู้ส่งออกในพอร์ตของธนาคารให้เพิ่มขึ้นหนึ่งเท่าตัว โจทย์ใหม่ของ EXIM BANK คือจะทำอย่างไรให้จำนวนรายผู้ส่งออกเพิ่มมากขึ้น แทนที่จะมุ่งเน้นแต่การให้สินเชื่อเพื่อขยายยอดเพียงอย่างเดียว เราต้องสร้างผู้ส่งออกหน้าใหม่ (New Exporter) และทำให้ผู้ส่งออกเอสเอ็มอีที่มีอยู่เดิมมีความเข้มแข็งขึ้น”

นายชลัช รัตนบุญนิธิ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK)

ทั้งนี้ ธนาคารยังวางเป้าหมายยอดสินเชื่อคงค้างในปี 2569 ที่ประมาณ 1.8 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นระดับใกล้เคียงปี 2568 ดยจะเพิ่มสัดส่วนของวงเงินเพื่อการส่งออกให้มากขึ้น แทนการปล่อยสินเชื่อเพื่อหมุนเวียนธุรกิจ (Working Capital) ทั่วไป เพื่อให้เม็ดเงินสินเชื่อถูกนำไปใช้ในการกระตุ้นภาคการส่งออกอย่างแท้จริง

ส่วนกรณีความผันผวนของค่าเงินบาทที่ทิศทางแข็งค่าขึ้นนั้น ยอมรับว่าส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออก โดยเฉพาะเอสเอ็มอีที่กำไรหายโดยไม่รู้ตัว เนื่องจากผู้ประกอบการมักขาดเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงและบุคลากรที่เชี่ยวชาญในการวิเคราะห์ต้นทุนทางการเงิน

“หากค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นเพียง 1 บาท เช่น จาก 33 เหลือ 32 บาทต่อดอลลาร์ จะส่งผลให้กำไรของผู้ส่งออกจะหายไปเกือบ 2% และหากแข็งค่าขึ้น 2 บาท กำไรอาจหายไปถึง 5% ซึ่งปัญหาใหญ่ คือ เอสเอ็มอีมักมุ่งเน้นแต่การผลิตและส่งออกให้ได้ตามออเดอร์ แต่ไม่ได้คำนวณกำไรขาดทุนจากการแลกเปลี่ยนเงินตราในแต่ละธุรกรรมอย่างละเอียด ทำให้เมื่อได้รับเงินจริง ที่แปลงเป็นเงินบาทแล้ว อาจพบว่าขาดทุนหรือกำไรหดหายไปมาก”

ในขณะที่ผู้ส่งออกรายใหญ่ มักมีทีมบริหารจัดการความเสี่ยง มีการจองซื้อเงินตราต่างประเทศล่วงหน้า (Forward) หรือมีเครื่องมือป้องกันความเสี่ยง (Hedging) ที่ดีอยู่แล้ว จึงไม่ค่อยได้รับผลกระทบจากความผันผวนนี้มากนัก ฉะนั้น ในส่วนของเอสเอ็มอี ธนาคารก็มีบริการค้ำประกันการส่งออกเพื่อลดความผันผวนดังกล่าว

อย่างไรก็ตาม EXIM BANK พร้อมเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย สนับสนุนผู้ประกอบการให้ปรับตัว แข่งขันได้ และมีรากฐานที่มั่นคงในระยะยาว ผ่าน 4 แนวทางหลัก ได้แก่

1. กระตุ้นการส่งออก ช่วยให้ผู้ส่งออกไทย โดยเฉพาะเอสเอ็มอี ขยายธุรกิจสู่ตลาดใหม่ได้อย่างมั่นใจ ผ่านการจับคู่ธุรกิจ ขยายฐานลูกค้าในตลาดใหม่ด้วยเครือข่ายพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน โดยมีสินเชื่อ “EXIM Export Booster” เพื่อสนับสนุนเงินทุนแก่ผู้ประกอบการไทยที่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า

มาตรการภาษีแบบตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ของสหรัฐฯ และปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์ รวมถึงการให้สินเชื่อพร้อมประกันการส่งออก “EXIM Safe Trade Credit” เพื่อบริหารความเสี่ยงและสร้างความมั่นใจให้ผู้ประกอบการขยายธุรกิจสู่ตลาดใหม่

2. แก้ไขหนี้ ผ่านมาตรการแก้หนี้-ดูแลหนี้ที่มีปัญหาแต่มีศักยภาพในการฟื้นฟูกิจการ และการปรับโครงสร้างหนี้ที่เหมาะสมเพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจให้สามารถฟื้นฟูกิจการและปิดหนี้ได้เร็วขึ้น

3. เพิ่มสภาพคล่อง ด้วย “สินเชื่อเอ็กซิมเพื่อการส่งเสริมการจ้างงาน ระยะที่ 3” ร่วมกับสำนักงานประกันสังคม เพื่อเสริมสภาพคล่องให้สถานประกอบการรักษาการจ้างงาน รวมถึงมาตรการเยียวยาและฟื้นฟูผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ต่าง ๆ เช่น อุทกภัยภาคใต้ ข้อพิพาทชายแดน

4. ลงทุนเพื่ออนาคต โดยสนับสนุนสินเชื่อที่เชื่อมโยงกับผลลัพธ์ด้านความยั่งยืน อาทิ Sustainability-Linked Loan และสินเชื่อ Green X Transformation เพื่อเสริมศักยภาพธุรกิจไทยให้เติบโตบนเส้นทางเศรษฐกิจสีเขียว รวมถึงยกระดับการผลิตสู่เทคโนโลยีขั้นสูง

“EXIM BANK มีการจัดทีมเฉพาะกิจเพื่อขยายบทบาทการสนับสนุนภาคธุุรกิจและการส่งออกไทย รวมถึงการเยียวยาและฟื้นฟูผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตอุทกภัยในภาคใต้ ตลอดจนเตรียมพร้อมสำหรับวิกฤตต่าง ๆ ที่จะตามมา เพื่อทำหน้าที่ Export Co-pilot ที่พร้อมยืนเคียงข้างเป็นพันธมิตรทางธุรกิจที่นำพาผู้ประกอบการไทยเดินทางไปปักธงในตลาดใหม่ได้จริง”