มั่นใจแบงก์พร้อมรับมือ TFRS9

03 ต.ค. 2562 | 11:44 น.

ธปท.ยัน แบงก์พร้อมรับมือมาตรฐานการบัญชีใหม่ TFRS9 มั่นใจไม่กระทบโมเดลธุรกิจ ชี้สำรอง-หนี้จัดชั้นเพิ่ม แต่ไม่น่าห่วง เหตุลูกค้า Stage 1 สัดส่วนสูง 90% แถมสำรองทั้งระบบเฉลี่ยสูง 150%

นางสาวยุพิน เรืองฤทธิ์ ผู้อำนวยการ ฝ่ายนโยบายการกำกับสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เปิดเผยว่า มาตรฐานการบัญชีสำหรับเครื่องมือทางการเงิน (Thai Financial Reporting Standard: TFRS 9) ที่บังคับใช้หลังวันที่ 1 มกราคม 2563 แม้การตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญของธนาคารมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น แต่เชื่อว่า ไม่ได้เพิ่มขึ้นมากนัก เนื่องจากธนาคารพาณิชย์ตั้งสำรองค่อนข้างสูงอยู่แล้ว โดยทั้งระบบตั้งสำรองเฉลี่ยที่ 150% ขณะที่การตั้งสำรองต่ำสุดในระบบยังเฉลี่ยที่ 110%

มั่นใจแบงก์พร้อมรับมือ TFRS9

ทั้งนี้ TFRS9 ได้เปลี่ยนหลักการสำคัญในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการกันเงินสำรอง จากเดิมคำนวณเงินสำรองจากความเสียหายที่เกิดขึ้นแล้ว(Incurred Loss) เปลี่ยนเป็นคำนวณจากความเสียหายที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (Expected Loss หรือ EL โดยกำหนดให้กันสำรองให้ครอบคลุมถึงเหตุการณ์ในอนาคตที่อาจส่งผลกระทบต่อลูกหนี้ (Forward-looking Information) โดยพิจารณาถึงสถานะหรือชั้น (Stage) ของลูกหนี้ เพื่อรับรู้สำรองเร็วขึ้นตามสถานะลูกหนี้ที่เปลี่ยนแปลงไป

ทั้งนี้ หลักการสำรองตาม TFRS9 ในส่วนของ ลูกหนี้ Stage 1 กลุ่มความเสี่ยงด้านเครดิตไม่เปลี่ยนแปลงจากวันแรกของการให้สินเชื่อ ให้กันเงินสำรองรองรับความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นภายใน 1 ปีข้างหน้า หรือ 1-year EL จากเดิมที่ให้กันสำรองเมื่อเกิดข้อบ่งชี้การด้อยค่า (Objective evidence of impairment) แล้วเท่านั้น เช่น มีการผิดนัดชำระหนี้ ธนาคารจะต้องกันเงินสำรองตามอัตราที่ธปท.กำหนด แบ่งเป็น ลูกหนี้ชั้นปกติ 1% ชั้นกล่าวถึงเป็นพิเศษ (SM) 2% และชั้นหนี้เอ็นพีแอล 3%

มั่นใจแบงก์พร้อมรับมือ TFRS9

ขณะที่ ลูกหนี้ Stage 2 กลุ่มที่มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ หรือกลุ่ม SM และ Stage 3 กลุ่มหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ให้กันเงินสำรองรองรับความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นตลอดอายุของลูกหนี้ (Lifetime EL) เช่น สินเชื่อบ้านอายุสัญญา 15 ปี ธนาคารจะต้องประเมินภายใต้เครื่องชีวัดต่างๆ เพื่อประเมินความเสี่ยงลูกค้าไปข้างหน้าตลอดอายุลูกหนี้ อย่างไรก็ดี การตั้งสำรองดังกล่าวไม่สามารถตั้งได้ตามใจชอบ แต่จะต้องมีความรอบคอบและมีทฤษฎีรองรับด้วย

 

อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าแนวโน้มลูกค้าใน Stage 2 จะเพิ่มขึ้นตามคาดการณ์ตามความเสี่ยงที่มีมากขึ้น แต่ไม่ต้องตกใจว่าคุณภาพลูกค้าจะเสียเพิ่มขึ้นหรือน้อยลง แต่เป็นการเพิ่มขึ้นตามหลักเกณฑ์ใหม่เท่านั้น ส่วนจะมีการเลื่อน Stage ลูกค้าจาก 1 มาเป็น 2 จะต้องมีเครื่องชี้วัด เช่น ลูกค้าเริ่มชำระล่าช้าเกิน 30 วัน แต่ไม่ถึง 90 วัน ซึ่งจากการสำรวจสถาบันการเงินต่างประเทศที่เริ่มใช้ไปแล้ว 1 ปี พบว่ามีสัดส่วนลูกค้า Stage 2 กว่า 10% ขณะที่ภาพรวมของธนาคารไทยส่วนใหญ่มีลูกค้าอยู่ใน Stage 1 มากกว่า 90%

 

นอกจากนี้ ภายใต้เกณฑ์ TFRS9 จะทำให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) กว้างขึ้น เนื่องจากการรับรู้รายได้ดอกเบี้ยจากส่วนที่คาดว่าจะได้รับคืนจากลูกหนี้เอ็นพีแอล แต่ทั้งนี้ การสำรองน่าจะปรับเพิ่มขึ้นตามความเสียหายที่คาดว่าจะเกิดขึ้น ทำให้รายได้ดอกเบี้ยสุทธิตามเกณฑ์ไม่มีการเปลี่ยนแปลงจากเกณฑ์เดิมอย่างมีนัยสำคัญ

มั่นใจแบงก์พร้อมรับมือ TFRS9