ธุรกิจประกันชีวิตไทยครึ่งปีแรก 2562 ติดลบ – 6 % "นุสรา" ลั่นบริษัทสมาชิกปรับตัวฝ่าโจทย์"เศรษฐกิจชะลอ-ดอกเบี้ยต่ำ-มาตรฐานIFRS17
นางนุสรา (อัสสกุล) บัญญัติปิยพจน์ นายกสมาคมประกันชีวิตไทย เปิดเผยว่า 6 เดือนแรกปี 2562 (มกราคม – มิถุนายน) ธุรกิจประกันชีวิตผลิตเบี้ยประกันประกันภัยรับรวมทั้งสิ้น 2.95แสนล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโตลดลงติดลบ 6% เมื่อเทียบกับระยะเวลาเดียวกันในปีที่ผ่านมา แบ่งเป็นเบี้ยประกันภัยรับรายใหม่ จำนวน 8.4หมื่นล้านบาท อัตราเติบโตลดลง 8% และเบี้ยประกันภัยรับปีต่อไปจำนวน 2.11แสนล้านบาท อัตราเติบโตลดลง5% ซึ่งมีอัตราความคงอยู่ของกรมธรรม์ประกันชีวิต 78% สำหรับเบี้ยประกันภัยรับรายใหม่ ประกอบด้วย
1.เบี้ยประกันภัยรับปีแรก จำนวน 48,699.04 ล้านบาท อัตราการเติบโตเพิ่มขึ้น 3.43% 2. เบี้ยประกันภัยรับจ่ายครั้งเดียว จำนวน 35,302.52 ล้านบาท อัตราการเติบโต 20%
ทั้งนี้ไตรมาสสองปี 2562 การขายผ่านตัวแทนประกันชีวิต ยังเป็นช่องทางหลักโดยมีจำนวน 1.43แสนล้านบาท สัดส่วน 48.65% หรือเติบโตเพิ่มขึ้น 2.84% เมื่อเทียบกับระยะเวลาเดียวกันในปีที่ผ่านมา รองลงมาคือ การขายผ่านธนาคาร จำนวน 1.28แสนล้านบาท สัดส่วน43.41%หรือเติบโตลดลง 15.88% ตามด้วยช่องทางอื่นๆ 1.61หมื่นล้านบาท สัดส่วน 5.46%หรือเติบโตเพิ่มขึ้น 7.13% และการขายตรง 7,348.97 ล้านบาท สัดส่วน 2.49% หรือเติบโตเพิ่มขึ้น4.21% เมื่อเทียบกับระยะเวลาเดียวกันในปีที่ผ่านมา
ขณะที่ช่องทางดิจิทัลหรือช่องทางอินเตอร์เน็ตยังสดใส่สามารถตอบโจทย์การใช้ชีวิตยุคดิจิทัลได้เป็นอย่างดี
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ของธุรกิจประกันชีวิตในครึ่งปีแรกที่ผ่านมา ค่อนข้างที่จะได้รับผลกระทบจากสภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว เป็นผลมาจากการส่งออกที่ลดลงอันสืบเนื่องจากสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐอเมริกา รวมทั้งและจากปัจจัยแวดล้อมของธุรกิจเอง เช่น ภาวะความกดดันจากเรื่องมาตรฐานรายงานทางบัญชีและการเงิน IFRS 9, IFRS 17 และพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 (Privacy Law) ซึ่งมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2563 เป็นผลมาจากการบังคับใช้ของกฎเกณฑ์ว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของสหภาพยุโรป (General Data Protection Regulation (GDPR) (EU)) โดยกฎเกณฑ์ดังกล่าวมีหลักเกณฑ์ควบคุมและคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของประชาชนในสหภาพยุโรป และมีสภาพบังคับไม่จำกัดเฉพาะต่อประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรปเท่านั้น ยังอาจส่งผลกระทบในหลายๆ ประเทศรวมถึงประเทศไทย ซึ่งส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจประกันชีวิตที่จำเป็นต้องใช้ และเก็บข้อมูลส่วนบุคคล
บวกหลักเกณฑ์กำกับจากหน่วยงานภาครัฐผ่านประกาศคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการออก การเสนอขายกรมธรรม์ประกันภัยของบริษัทประกันชีวิตและปฏิบัติหน้าที่ของตัวแทนประกันชีวิต นายหน้าประกันชีวิต และธนาคาร พ.ศ. 2561 (Market Conduct) ที่ส่งผลให้ยอดขายผ่านช่องทางธนาคารลดลง การเผชิญกับอัตราความเสียหายจากคนกลางและการฉ้อฉลประกันภัย (Fraud & Abuse) สิ่งเหล่านี้ล้วนส่งผลให้ภาคธุรกิจต้องเร่งปรับตัวเพื่อเตรียมรองรับผลกระทบที่จะเกิดขึ้น
ขณะเดียวกันหลายบริษัทนำเสนอขายผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตแบบ Single Premium ด้วยความระมัดระวังจึงทำให้อัตราการเติบโตของเบี้ยฯจ่ายครั้งเดียวชะลอตัวอย่างชัดเจน รวมทั้งเบี้ยฯต่ออายุก็มีอัตราการเติบโตชะลอตัวเช่นเดียวกัน และมีอัตราความคงอยู่ที่ไม่สูงมากนัก เนื่องมาจากกรมธรรม์ทั้งระบบมี Paid up จำนวนมาก เหล่านี้ล้วนส่งผลให้เบี้ยประกันภัยรับรายใหม่ ที่ประกอบด้วย เบี้ยประกันภัยรับปีแรก และเบี้ยประกันภัยรับจ่ายครั้งเดียว มีอัตราการเติบโตชะลอตัวตาม
ส่วนแนวโน้มผลิตภัณฑ์ที่จะได้รับความนิยมจะเป็นผลิตภัณฑ์ประเภทความคุ้มครองเป็นหลัก เช่น ประกันสุขภาพ หรือแบบประกันควบการลงทุน
" ครึ่งปีหลังก็มีแนวโน้มปรับตัวดีกว่าในช่วงครึ่งปีแรก จึงปรับลดเป้าทั้งปีติดลบ 3%จากเดิมคาดจะขยายตัว 3-5% โดยหวังรัฐบาลจะมีมาตรการกระตุ้น"